During a total eclipse of the Moon,

During a total eclipse of the Moon, it's not uncommon to see the Moon's face shine with a dull, rusty-colored light. This is the result of red sunlight, filtered through the Earth's atmosphere, and shining on the Moon's surface. If you could be on the Moon during a total eclipse, the Earth would appear as a dark circle blocking the Sun, surrounded by the bright red-orange ring of the Earth's atmosphere.

Often, this rusty color can be a deep red, not unlike the color of blood. For this reason, every time we have a lunar eclipse, there are always some who proclaim it as "a sign of the End Times." Scripture mentions similar occurrences in the Moon:

" The Sun shall be turned into darkness, and the Moon into blood, before that great and notable day of the Lord come." -- Joel 2:31, Acts 2:20

"And I beheld when he had opened the sixth seal, and lo, there was a great earthquake, and the Sun became black as sackcloth of hair, and the Moon became as blood." -- Revelation 6:12

However, I would caution everyone against interpreting these passages to mean a simple lunar eclipse. The fact is, lunar eclipses are very common, moreso even than "wars and rumors of wars." There are usually two or three lunar eclipses each year. So a typical eclipse of the Moon is not a very rare or notable event in the scheme of human history.

Also, the causes and mechanics of eclipses were well understood in New Testament times. We've speculated in previous Updates that the education of the Apostle Paul might have included Classical Astronomy. So it's not unlikely that Paul and other Christians in New Testament times would have understood that a lunar eclipse is a predictable natural event, not a supernatural one.

Instead, perhaps the bloody color of the Moon foretold in Scripture refers to a supernatural event. These verses also speak of a darkening of the Sun. This only happens naturally during a total eclipse of the Sun. But a solar eclipse cannot happen at the same time as a lunar eclipse, since these events both involve the Moon, and can only occur at least two weeks apart, when the Moon is in opposite sides of the sky.

Also, a solar or lunar eclipse can only be seen in small areas of the Earth. No single eclipse is visible from everywhere in the world. Also, eclipses are short in duration. Solar eclipses last only a few minutes, while lunar eclipses last for less than two hours. Surely events signaling the climax of human history should be longer in duration, and visible to everyone in the world, so that every eye could see the fulfillment of prophecy.

For these reasons, I believe the opening of the Sixth Seal points to a non-astronomical event, where the Sun is darkened at the same time as the Moon turns to the color of blood. The Bible speaks of other miracles of the sky, such as the Star of Bethlehem and the darkness that occurred during the Crucifixion of Jesus. But these miracles are also not easily explained by astronomical science.

Many scientific theories have been proposed for the Star of Bethlehem. But there are a million of these theories, and they always seem to neglect either a point of Scripture or a point of science. And it has often been suggested that darkness on Calvary was due to a solar eclipse. But this darkness lasted for three hours, much longer than any natural eclipse. And the Crucifixion occurred during Passover, which lands on the Full Moon, the opposite phase for a solar eclipse!

Attempts to discover scientific rationalizations for the miraculous always require a "faith" in naturalistic explanations that advance neither science nor faith. We Christians might do better to simply trust what God wrote in His Word and not make hasty efforts to harmonize Scripture with human reason.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในระหว่างการรวมอุปราคาของดวงจันทร์ มันไม่ใช่เห็นของจันทร์หน้าขัดไฟหมองคล้ำ สีสนิม นี่คือผลของแสงแดดสีแดง กรองผ่านบรรยากาศของโลก และส่องแสงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ ถ้าคุณอาจจะบนดวงจันทร์ในช่วงคราสรวม โลกจะปรากฏเป็นวงกลมสีดำบล็อกดวงอาทิตย์ ล้อมรอบ ด้วยวงแหวนสีแดงอมส้มสดใสของบรรยากาศของโลกได้

มัก สีสนิมนี้สามารถเป็นความลึกสีแดง ไม่แตกต่างจากสีของเลือดได้ ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่เรามีจันทรคราส มีเสมอบางคนประกาศเป็น "เครื่องหมายเวลาสิ้นสุด" พระคัมภีร์กล่าวถึงเหตุการณ์คล้ายกันในดวงจันทร์:

"ดวงอาทิตย์ที่จะเปิดเข้าไปในความมืด และดวงจันทร์เข้าไปในเลือด ก่อนที่ดี และโดดเด่นวันของพระเจ้ามา" - Joel 2:31, 2:20 กระทำ

"และ beheld เมื่อเขามีเปิดตราหก หล่อ มีแผ่นดินไหวดี และดวงอาทิตย์กลายเป็นสีดำเป็นผ้ากระสอบของผม และดวงจันทร์กลายเป็นเลือด" - วิวรณ์ 6:12

อย่างไรก็ตาม ฉันจะ caution ทุกคนกับการตีความทางเดินเหล่านี้จะหมายถึง เรื่องจันทรคราส เป็นความจริง eclipses จันทรคติเป็นธรรมดา moreso ยิ่งกว่า "สงครามและข่าวลือของสงคราม" มักสอง หรือสามทางจันทรคติ eclipses แต่ละปี ดังนั้นอุปราคาทั่วไปของดวงจันทร์ไม่มีเหตุการณ์มากน้อย หรือโดดเด่นในโครงร่างของมนุษย์ประวัติศาสตร์

ยัง สาเหตุและกลไกของ eclipses ได้ดีเข้าใจในพันธสัญญาใหม่ เราได้คาดในการปรับปรุงก่อนหน้านี้ว่า การศึกษาของ Paul อัครทูตอาจมีรวมดาราคลาสสิก ดังนั้นจึงไม่น่า ที่ Paul และคริสเตียนอื่น ๆ ในพันธสัญญาใหม่จะได้เข้าใจว่าจันทรคราสเหตุการณ์ธรรมชาติคาดเดาได้ หนึ่งเหนือธรรมชาติไม่

แทน บางทีสีเลือดของดวงจันทร์พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าในพระคัมภีร์อ้างอิงถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ข้อพระคัมภีร์นี้ยังเอ่ยถึงความ darkening ของดวงอาทิตย์ นี้เท่านั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติในระหว่างรวมอุปราคาของดวงอาทิตย์ แต่ไม่เกิดสุริยคราสในเวลาเดียวกันเป็นจันทรคราส เนื่องจากเหตุการณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ และเฉพาะเกิดขึ้นอย่างน้อยสองสัปดาห์อพาร์ท เมื่อพระจันทร์อยู่ด้านตรงข้ามของฟ้า

ยัง คราสอาทิตย์ หรือดวงจันทร์เท่านั้นสามารถดูได้ในพื้นที่ขนาดเล็กของโลกได้ คราสเดียวไม่สามารถมองเห็นได้จากทุกหนทุกแห่งในโลก ยัง eclipses จะสั้น Eclipses แสงสุดท้ายเพียงไม่กี่นาที ขณะ eclipses ดวงล่าสุดสำหรับน้อยกว่าสองชั่วโมง แน่นอน เหตุการณ์ตามปกติจุดสุดยอดของประวัติศาสตร์มนุษย์ควรอีกต่อไปในระยะเวลา และเห็นทุกคนในโลก ให้ทุกตาได้เห็นการปฏิบัติตามของคำพยากรณ์

เหตุผลเหล่านี้ ผมเชื่อว่าการเปิดจุดตราหกเหตุการณ์ไม่ใช่ดาราศาสตร์ ที่ดวงอาทิตย์จะมืดมัวไปในเวลาเดียวกันเป็นดวงจันทร์เปลี่ยนเป็นสีของเลือด พระคัมภีร์พูดถึงความอัศจรรย์อื่น ๆ ของท้องฟ้า ดาว Bethlehem และความมืดที่เกิดขึ้นระหว่างการตรึงกางเขนของพระเยซู แต่อัศจรรย์เหล่านี้ยังไม่ได้อธิบาย ด้วยวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์การ

ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากมายได้รับการเสนอสำหรับดาว Bethlehem แต่มีล้านของทฤษฎีเหล่านี้ และเสมอดูเหมือนละเลยจุดของคัมภีร์หรือจุดของวิทยาศาสตร์ และก็ได้มักจะถูกแนะนำว่า ความมืดบนไม้กางเขนเกิดสุริยคราส แต่ความมืดนี้กินเวลา 3 ชั่วโมง นานกว่าคราสธรรมชาติใด ๆ และตรึงกางเขนที่เกิดขึ้นในระหว่างเทศกาลปัสกา ซึ่งที่ดินบนดวงจันทร์เต็ม เฟสตรงกันข้ามสำหรับสุริยคราส !

ความพยายามที่จะค้นพบทางวิทยาศาสตร์ rationalizations สำหรับการอัศจรรย์เสมอต้อง "ศรัทธา" ในคำอธิบาย naturalistic ที่ล่วงหน้าทั้งวิทยาศาสตร์และความเชื่อไม่ เราคริสเตียนอาจดีก็เชื่อถือพระเจ้าที่เขียนในพระวจนะ และไม่พยายามเข้าประสานคัมภีร์ มีเหตุผลมนุษย์

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในช่วงคราสรวมของดวงจันทร์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นดวงจันทร์ส่องแสงด้วยใบหน้าหมองคล้ำแสงสีสนิม นี้เป็นผลจากแสงแดดสีแดงกรองผ่านชั้นบรรยากาศของโลกและส่องแสงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ ถ้าคุณอาจจะบนดวงจันทร์ในช่วงคราสรวมโลกจะปรากฏเป็นวงกลมสีดำที่ปิดกั้นดวงอาทิตย์ล้อมรอบด้วยวงแหวนสีแดงสีส้มสดใสของชั้นบรรยากาศของโลกมักจะเป็นสนิมสีนี้จะเป็นสีแดงเข้มไม่ต่างจาก สีของเลือด ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เรามีจันทรคราสทุกคนมีอยู่เสมอบางคนที่ประกาศว่าเป็น "สัญลักษณ์ของเวลาสิ้นสุด." พระคัมภีร์กล่าวเกิดขึ้นที่คล้ายกันในดวงจันทร์: "ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืดและดวงจันทร์เข้าสู่กระแสเลือดก่อนว่าวันที่ดีและโดดเด่นของพระเจ้ามา." - โจเอล 2:31, กิจการ 02:20 "และเราได้เห็นเมื่อเขาทรงแกะตราดวงที่หกและแท้จริงมีการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่และดวงอาทิตย์กลายเป็นสีดำเป็นผ้ากระสอบของผมและดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด." - วิวรณ์ 06:12 แต่ผมจะเตือนทุกคนกับการตีความทางเดินเหล่านี้หมายถึงจันทรคราสง่าย ความจริงก็คือจันทรุปราคาอยู่ร่วมกันมากขึ้นดังนั้นยิ่งกว่า "สงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม." โดยปกติจะมีสองหรือสามจันทรุปราคาในแต่ละปี ดังนั้นคราสทั่วไปของดวงจันทร์ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่หายากมากหรือโดดเด่นในรูปแบบของประวัติศาสตร์ของมนุษย์นอกจากนี้สาเหตุและกลไกของสุริยุปราคาถูกเข้าใจดีในสมัยพันธสัญญาใหม่ เราได้คาดการณ์ในก่อนหน้านี้ที่การปรับปรุงการศึกษาของอัครทูตเปาโลอาจได้รวมดาราศาสตร์คลาสสิก ดังนั้นจึงไม่น่าที่พอลและคริสตชนอื่น ๆ ในสมัยพันธสัญญาใหม่จะได้เข้าใจว่าจันทรคราสเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้เหนือธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งแต่อาจจะเป็นสีเลือดของดวงจันทร์ทำนายในพระคัมภีร์หมายถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ โองการเหล่านี้ยังพูดถึงความมืดของดวงอาทิตย์ นี้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติในช่วงที่คราสรวมของดวงอาทิตย์ แต่สุริยุปราคาไม่สามารถเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันเป็นจันทรคราสเนื่องจากเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งสองเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์และสามารถเกิดขึ้นได้เพียงอย่างน้อยสองสัปดาห์ออกจากกันเมื่อดวงจันทร์อยู่ในด้านตรงข้ามของท้องฟ้านอกจากนี้แสงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ คราสสามารถมองเห็นได้เฉพาะในพื้นที่ที่มีขนาดเล็กของโลก ไม่มีคราสเดียวที่มองเห็นได้จากทุกที่ในโลก นอกจากนี้สุริยุปราคาจะสั้นในระยะเวลา พลังงานแสงอาทิตย์สุริยุปราคาเพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมาในขณะที่ดวงจันทร์สุริยุปราคาครั้งสุดท้ายสำหรับน้อยกว่าสองชั่วโมง แน่นอนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งสัญญาณจุดสุดยอดของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ควรจะเป็นอีกต่อไปในระยะเวลาและสามารถมองเห็นได้ทุกคนในโลกเพื่อให้ทุกสายตาได้เห็นการปฏิบัติตามคำทำนายด้วยเหตุผลเหล่านี้ผมเชื่อว่าการเปิดตัวของจุดที่หกซีลที่ไม่ใช่แบบ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ดวงอาทิตย์จะมืดในเวลาเดียวกับที่ดวงจันทร์เปลี่ยนเป็นสีเลือด พระคัมภีร์พูดถึงปาฏิหาริย์อื่น ๆ ของท้องฟ้าเช่นสตาร์ของ Bethlehem และความมืดที่เกิดขึ้นระหว่างการตรึงกางเขนของพระเยซู แต่ปาฏิหาริย์เหล่านี้ยังไม่ได้อธิบายอย่างง่ายดายโดยวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หลายคนได้รับการเสนอชื่อสำหรับดาวของ Bethlehem แต่มีล้านของทฤษฎีเหล่านี้และพวกเขาเสมอดูเหมือนจะละเลยทั้งจุดของพระคัมภีร์หรือจุดของวิทยาศาสตร์ และจะได้รับมักจะชี้ให้เห็นว่าในความมืดโกรธาเนื่องจากสุริยุปราคา แต่ความมืดนี้กินเวลานานสามชั่วโมงนานกว่าคราสธรรมชาติใด ๆ และการตรึงกางเขนเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปัสกาซึ่งที่ดินบนฟูลมูน, เฟสตรงข้ามกับสุริยุปราคา! พยายามที่จะค้นพบทางวิทยาศาสตร์เพื่อการลบล้างปาฏิหาริย์เสมอต้องมี "ศรัทธา" ในคำอธิบายที่ยึดที่ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์หรือไม่ศรัทธา เราคริสตชนอาจจะทำดีกว่าที่จะเพียงแค่ความไว้วางใจในสิ่งที่พระเจ้าเขียนไว้ในพระวจนะของพระองค์และไม่ได้ทำให้ความพยายามรีบร้อนที่จะประสานคัมภีร์ด้วยเหตุผลของมนุษย์

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ระหว่างสุริยุปราคาดวงจันทร์ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นดวงจันทร์หน้าท้ากับทึบ สนิม สี แสง นี่คือผลของแสงแดดสีแดง กรองผ่านชั้นบรรยากาศของโลก และส่องแสงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ ถ้าคุณสามารถบนดวงจันทร์ในช่วงสุริยคราส โลกจะปรากฏเป็นวงกลมมืดบังดวงอาทิตย์ล้อมรอบด้วยสีแดงส้ม แหวนของบรรยากาศโลก

มักจะสีสนิมนี้จะเป็นสีแดงลึก ไม่แตกต่างจากสีของเลือด ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่เรามีจันทรุปราคา มีเสมอบางคนประกาศเป็น " สัญลักษณ์ของเวลาสิ้นสุด . " พระคัมภีร์กล่าวถึงเหตุการณ์ที่คล้ายกันในดวงจันทร์ :

" ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืดดวงจันทร์เป็นเลือดก่อนดีและเด่น วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า . . . " โจเอล 2 : 31 , กิจการ 2 : 20

" และฉันได้เห็นเมื่อเขาเปิดผนึก หก และดูเถิด เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และดวงอาทิตย์ก็กลายเป็นมืดดำดุจผ้ากระสอบขนสัตว์ และดวงจันทร์ก็กลายเป็นสีเลือด . . . " วิวรณ์ 6 : 12

แต่ผมขอเตือนทุกคนกับการตีความหัวข้อเหล่านี้หมายถึงจันทรุปราคาแบบง่ายๆ ความจริงคือจันทรุปราคาเป็นทั่วไปมาก , moreso กว่า " สงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม " โดยปกติจะมีสองหรือสามสุริยุปราคาดวงจันทร์ในแต่ละปี ดังนั้นการเกิดโดยทั่วไปของดวงจันทร์ไม่ยากมาก หรือเหตุการณ์เด่นในรูปแบบของประวัติศาสตร์มนุษย์

นอกจากนี้ สาเหตุ และกลไกของสุริยุปราคาก็เข้าใจดีครั้งที่พันธสัญญาใหม่เราได้คาดการณ์ก่อนหน้านี้ในการปรับปรุงการศึกษาของอัครสาวกเปาโลอาจรวมดาราศาสตร์คลาสสิก ดังนั้นจึงไม่ยากที่ พอล และ คริสเตียนอื่น ๆ ในเวลาพันธสัญญาใหม่จะเข้าใจว่า จันทรุปราคา เป็นแบบฉบับ เหตุการณ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องหนึ่ง

แต่บางทีเลือดสีจันทร์ ทำนายไว้ในพระคัมภีร์ หมายถึง เหตุการณ์เหนือธรรมชาติโองการเหล่านี้ยังพูดของ darkening ของดวงอาทิตย์ นี้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติระหว่างสุริยุปราคาดวงอาทิตย์ แต่ไม่สามารถ สุริยุปราคา เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับจันทรุปราคาตั้งแต่เหตุการณ์เหล่านี้ทั้งสองเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ และสามารถเกิดขึ้นอย่างน้อยสองสัปดาห์ เมื่อดวงจันทร์อยู่ด้านตรงข้ามของท้องฟ้า

ยัง พลังงานแสงอาทิตย์ หรือจันทรุปราคาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ในพื้นที่ขนาดเล็กของโลกไม่โสด คราส จะมองเห็นได้จากทุกที่ในโลก นอกจากนี้ สุริยุปราคาจะสั้น ๆในเวลา สุริยคราสครั้งสุดท้ายเพียงไม่กี่นาที ในขณะที่จันทรุปราคาเมื่อไม่ถึงสองชั่วโมง แน่นอนว่าเหตุการณ์สัญญาณจุดสำคัญของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ควรจะยาวในช่วงเวลา และมองเห็นทุกคนในโลก เพื่อให้ทุกสายตาได้เห็นการปฏิบัติตามคำทำนาย

เหตุผลเหล่านี้ผมเชื่อว่า การเปิดจุดประทับตราที่หกจะไม่ใช่เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ ซึ่งดวงอาทิตย์จะมืดไปในเวลาเดียวกับที่ดวงจันทร์เปลี่ยนสีเลือด คัมภีร์ไบเบิ้ลพูดถึงปาฏิหาริย์อื่น ๆของท้องฟ้า เช่น ดาวของ Bethlehem และความมืดที่เกิดขึ้นในการตรึงกางเขนของพระเยซู แต่ปาฏิหาริย์เหล่านี้จะยังไม่อธิบายได้อย่างง่ายดายโดยดาราศาสตร์วิทยาศาสตร์ .

ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ได้รับการเสนอสำหรับดวงดาวแห่งเบธเลเฮม มีล้านของทฤษฎีเหล่านี้ และพวกเขาเสมอดูเหมือนจะละเลยให้จุดของพระคัมภีร์หรือจุดของวิทยาศาสตร์ และมันก็มักจะได้รับการแนะนำให้ความมืดบนไม้กางเขนคือเนื่องจากการเกิดสุริยุปราคา แต่ความมืดมิดนี้ เป็นเวลา 3 ชั่วโมง นานกว่าธรรมชาติ Eclipseและการตรึงกางเขนที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปัสกาซึ่งลงจอดบนดวงจันทร์เต็มเฟสตรงข้ามกับสุริยุปราคา !

พยายามที่จะค้นพบทางวิทยาศาสตร์ rationalizations อัศจรรย์เสมอต้อง " เชื่อ " ในคำอธิบายดล่วงหน้านั้น ทั้งวิทยาศาสตร์และความเชื่อเราคริสเตียนอาจจะดีกว่าที่จะเพียงแค่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าเขียนในคำพูดของเขาและไม่พยายามเร่งประสานพระคัมภีร์กับเหตุผลของมนุษย์