ประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา
ประวัติ / ความเป็นมา
การแห่เทียนเข้าพรรษา เป็นประเพณีของชาวพุทธที่ได้กระทำสืบต่อมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลเพื่อการถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา คือ เมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปจำพรรษาอยู่ที่ป่าเลไลยก์ เพื่อหาความสงบ ในป่าแห่งนี้มีพญาช้างสารและพญาวานร ได้สืบทราบว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับแรม จึงชวนกันไปเป็นผู้อุปัฏฐาก โดยพญาช้างเป็นผู้หาน้ำดื่ม น้ำใช้ ส่วนพญาวานรเป็นผู้หารังผึ้งมาถวาย ต่อมาพญาวานรเกิดพลาดพลั้งพลัดตกต้นไม้ตาย แต่ด้วยอานิสงส์ที่ได้ทำไว้กับพระพุทธเจ้าจึงได้เกิดเป็นพระพรหมอยู่บนสวรรค์ อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พระอนุรุทสาวกของพระพุทธเจ้าที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม รู้พระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน ก็เพราะในชาติปางก่อนเคยถวายแสงประทีปเป็นทาน ดังนั้นพุทธศาสนิกชนผู้ฝักใฝ่ในบุญกุศล จึงได้ยึดถือเป็นประเพณีนำเทียนไปถวายพระภิกษุสงฆ์ในวันเทศกาลเข้าพรรษา
ประเพณีการถวายเทียนจำพรรษาของชาวไทย ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในหนังสือนางนพมาศ ซึ่งมีทั้งพระราชพิธีและพิธีของราษฎร์ว่า พอถึงเดือน 8 นักขัตฤกษ์บูชาใหญ่ “พระราชพิธีอาษาฒมาส” สมเด็จพระร่วงเจ้าทรงโปรดให้จัดตกแต่งพระอารามหลวงทุกแห่ง และถวายเครื่องบริขารสมณะแด่พระสงฆ์ พร้อมทั้งเทียนประจำพรรษาบูชาพระบรมธาตุ โปรดให้ชาวพนักงานเชิญเทียนเข้าไว้ในพระวิหาร หอพรและให้จุดตามในที่นั้น ทุกพระอาราม ทรงอุทิศสักการะบูชาพระรัตนตรัยสิ้นไตรมาส ฝ่ายมหาชน ประชาชนชายหญิงในตระกูลต่างๆ ทั่วไป ทั้งพระราชอาณาเขตขัณฑสีมา ประชุมกันเป็นพวกเป็นเหล่า ตามวงศ์คณาญาติ ต่างตกแต่งร่างกายประกวดกัน แห่เทียนจำนำพรรษาของตนไปทางบกบ้าง เรือบ้าง เสียงพิณพาทย์ ฆ้องกลองสนั่นไปทุกแห่งตำบลเอิกเกริกด้วยประชาชนคนแห่ คนดุ ทั้งทางบก ทางน้ำ เป็นมหานักขัตฤกษ์ แล้วเชิญประทีปจำนำพรรษาเข้าตั้งในอุโบสถวิหาร จุดตามบูชาพระรัตนตรัย สิ้นไตรมาสสามเดือน ทุกๆ อารามราษฎร์
ดังนั้น ประเพณีถวายเทียนจำพรรษา ซึ่งมีมาแต่สมัยสุโขทัยนั้น ปัจจุบันยังคงกระทำสืบต่อกันมา ซึ่งมีวิธี ปฏิบัติคล้ายคลึงกันกับที่เคยปฏิบัติกันมาในอดีต
สำหรับการแห่เทียนจำพรรษาของชาวอุบลราชธานีทีมีชื่อเสียงนั้นผู้สำเร็จราชการเมืองอุบล ชาวเมืองอุบลไม่มีการหล่อเทียน แห่เทียนเช่นปัจจุบัน ชาวบ้านจะฟั่นเทียนยาวเท่ารอบศีรษะไป ถวายพระเพื่อจุดบูชาจำพรรษา หาน้ำมันไปถวายพระสงฆ์ และหาเครื่องไทยทานและผ้าอาบน้ำฝนไปถวาย
ครั้นในสมัยกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เป็นผู้สำเร็จราชการที่เมืองอุบล คราวหนึ่งมีการแห่บั้งไฟ ที่วัดกลางมีคนไปดูมาก ในการแห่บั้งไฟมีการตีกันในกระบวนแห่จนถึงความตาย เสด็จในกรมเห็นว่าไม่ดีจึงเลิกการแห่บั้งไฟ และเปลี่ยนเป็นการแห่เทียนแทน
การแห่เทียนแต่เดิมไม่ได้ใหญ่โตเช่นปัจจุบัน เพียงแต่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเทียนแล้วนำเทียนมาติดกับลำไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ ตามรอยต่อหากระดาษจังโก (กระดาษสีเงิน สีทอง) ตัดเป็นลายฟันปลาติดเพื่อปิดรอยต่อ เสร็จแล้วนำต้นเทียนไปมัดติดกับปี๊บน้ำมันก๊าด
ฐานของต้นเทียนใช้ไม้ตีเป็นแผ่นเรียบ หรือทำสูงขึ้นเป็นชั้นๆ ติดกระดาษ เสร็จแล้วมีการแห่นำไปถวายวัด พาหนะที่ใช้นิยมใช้เกวียนหรือล้อเลื่อนที่ใช้วัวหรือคนลากจูง ถ้าเป็นวัวก็มักจะมีการตกแต่งรอบเขา คอ ข้อเท้า ด้วยกระดาษสี เกราะ หรือ กระพรวน ส่วนการแห่แหนของชาวบาน ก็มีฆ้อง กลอง กรับ และการฟ้อนรำด้วยความสนุกสนาน
ต่อมาการทำเทียนได้พัฒนาขึ้นถึงขั้นใช้การหล่อดอกจากแม่พิมพ์ที่เป็นลายง่ายๆ เช่นประจำยาม กระจังตาอ้อย บัวคว่ำ บังหงาย ก้ามปู กรุยเชิง หน้าขบ ฯลฯ แล้วนำไปติดที่ต้นลำเทียน ช่างฝีมือคนแรกที่เป็นผู้ริเริ่ม คือ นายโพธิ์ ส่งศรี ต่อมานายสอน คูณผล ช่างฝีมืออีกผู้หนึ่งได้นำวิธีการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้และประดับฐานต้นเทียนด้วยรูปปั้นสัตว์และลายไม้ฉลุ ทำให้ดูสวยงามมากขึ้น
ในช่วงปี พ.ศ.2495 ประชาชนเริ่มให้ความสนใและเห็นความสำคัญในการทำและแห่เทียนพรรษามากขึ้น เมื่อทางจังหวัดได้ส่งเสริมให้งานเข้าพรรษาเป็นงานประเพณีประจำปี แต่ต้นเทียนในขณะนั้นยังมีการจัดทำอยู่เพียง 2 ประเภท ประเภทมัดเทียนรวมกันแล้วติดกระดาษสี และประเภทพิมพ์ลายติดลำต้น ครั้นในปี พ.ศ.2497 ช่างฝีมือรุ่นเยาว์ อันได้แก่ นายอารี สินสวัสดิ์ นายประดับ ค้อนแก้ว เป็นอาทิ ได้พัฒนาวิธีทำขึ้นใหม่ โดยใช้ปูนพลาสเตอร์แกะแม่พิมพ์เป็นลายต่างๆ แล้วหล่อด้วยเทียนออกมา เทียนที่ใช้หล่อดอกใช้คนละสีกับลำต้น จึงทำให้มองเห็นส่วนกลองลายได้อย่าชัดเจน ต่อมาในปี พ.ศ.2509 นายคำหมา แสงงาม ได้คิดวิธีใหม่อีกแบบหนึ่งโดยแกะสลักลงบนต้นเทียนโดยตรง ซึ่งนับว่าเป็นวิธีทำเทียนที่ต้องใช้ฝีมืออย่างยิ่ง ช่างแกะสลักต้นเทียนยุคหลังที่มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบันได้แก่ นายอุตส่าห์ จันทรวิจิตร และนายสมัย จันทรวิจิตร เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ ในปีต่อมางานประเพณีแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี มีการจัดประกวดต้นเทียนเพิ่มเป็น 3 ประเภท คือ
1. ประเภทติดพิมพ์
2. ประเภทแกะสลัก
3. ประเภทต้นเทียนโบราณ
งานประเพณีแห่เทียนพรรษา ได้รับการส่งเสริมจากทางจังหวัด มากขึ้นตามลำดับจนถึงปี พ.ศ.2520 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ให้การสนับสนุนให้เป็นงานประเพณีระดับชาติ โดยประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ มาชมตั้งแต่บัดนั้นจนถึงทุกวันนี้
กำหนดงาน
ก่อนวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือ เดือน 9 (ในกรณีที่มีอธิกมาส) ณ บริเวณทุ่งศรีเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี