สังคมในยุคสมัยนี้ ผู้คนต่างใช้ชีวิต

สังคมในยุคสมัยนี้ ผู้คนต่างใช้ชีวิตของตนเองอย่างเร่งรีบเพื่อแข่งขันกับผู้คนทั้งโลก และแข่งกับเวลาของตนเองที่มีอยู่อย่างจำกัด และในแต่ละวันที่ใช้ไปนั้นก็มักจะหมดไปกับการที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันโดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง และผลกระทบที่ผู้อื่นจะได้รับเลย สิ่งที่เราทำเพื่อให้ได้สิ่งหนึ่งมาแต่ต้องเสียบางอย่างไปนั้นมันคุ้มค่ากันไหม เราได้เคยนึกถึงมันบ้างไหม สังคมที่น่าอยู่นั้นเป็นอย่างไรต้องมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันใช่ไหม ต้องมีความสามัคคีกัน ต้องช่วยเหลือกันยามลำบาก เราเคยลองถามตัวเองไหมว่าเราได้เคยให้อะไรแก่สังคมบ้างหรือเป็นแค่ผู้หาเอาแต่ประโยชน์จากสังคมเท่านั้น
ผู้คนในสังคมสมัยนี้มักจะมองกันที่เปลือกนอก มองกันที่การแต่งตัว นับถือเถิดทูนบุคคลกันแค่เพียงวัตถุและเงินทอง จนบางครั้งก็มองข้ามจิตใจที่อยู่ภายใน และนิสัยที่แท้จริงของแต่ละคน เคารพกันแบบฉาบฉวย แบ่งชนชั้นวรรณะกันเพียงแค่เขามีฐานะที่ด้อยกว่า หรือยศที่น้อยกว่าตนแล้วเราเคยมองย้อนกลับมาที่ตัวเองบ้างไหม ว่าจิตใจของเรานั้นมันสะอาดสวยงามเหมือนกับเสื้อผ้าที่เราสวมใส่หรือเปล่า น่าแปลกที่เราอาศัยอยู่ในเมืองพุทธแต่กลับถูกความมืดครอบงำจิตใจได้ง่าย
ทางกลุ่มของพวกเราจึงคิดว่าการที่คนในสังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ต้องมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อส่วนรวม คิดถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นมากกว่าของตนเองโดยไม่เอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่าได้นั้นต้องรู้จักขัดเกลาจิตใจตัวเองเพื่อให้เกิดจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม และรู้จักสร้างประโยชน์ให้กับสังคม สร้างความรักความสามัคคีของคนในสังคมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยเราต้องเริ่มจากชุมชนของเราก่อนซึ่งก็ต้องมีสิ่งที่สามารถเชื่อมจิตใจของคนในชุมชนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้นั้นก็คือวัด เพราะเป็นสถานที่ที่เผยแผ่ศาสนา และพระธรรมคำสอนเพื่อให้คนในสังคมได้นำเอาใช้ในชีวิตประจำวัน และวัดยังเป็น ศาสนสถานที่มีผลต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชนอีกด้วย เราจึงควรช่วยกันทำนุบำรุงศาสนา ศาสนสถาน และต้องช่วยกันส่งเสริมให้คนไปวัดมากขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับวัดและคนในชุมชน โดยสมาชิกในกลุ่มของเราทุกคนได้เล็งเห็นว่าควรจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาสถานที่ภายในวัดให้สะอาด ร่มเย็น เหมาะแก่การไปนั่งทำสมาธิหรือ พักผ่อนจิตใจนอกเหนือจากการที่จะไปวัดเพียงแค่เข้าร่วมกิจกรรมวันสำคัญทางศาสนา และช่วยสนับสนุนชาวบ้านในชุมชนให้เข้าวัดกันมากขึ้นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับชุมชนและวัด

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

สังคมในยุคสมัยนี้ และผลกระทบที่ผู้อื่นจะได้รับเลย เราได้เคยนึกถึงมันบ้างไหม ต้องมีความสามัคคีกันต้องช่วยเหลือกันยามลำบาก
มองกันที่การแต่งตัว และนิสัยที่แท้จริงของแต่ละคนเคารพกันแบบฉาบฉวย
ต้องมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อส่วนรวม และรู้จักสร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะเป็นสถานที่ที่เผยแผ่ศาสนา และวัดยังเป็น เราจึงควรช่วยกันทำนุบำรุงศาสนาศาสนสถาน ร่มเย็นเหมาะแก่การไปนั่งทำสมาธิหรือ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

สังคมในยุคสมัยนี้ผู้คนต่างใช้ชีวิตของตนเองอย่างเร่งรีบเพื่อแข่งขันกับผู้คนทั้งโลกและแข่งกับเวลาของตนเองที่มีอยู่อย่างจำกัดและผลกระทบที่ผู้อื่นจะได้รับเลยสิ่งที่เราทำเพื่อให้ได้สิ่งหนึ่งมาแต่ต้องเสียบางอย่างไปนั้นมันคุ้มค่ากันไหมเราได้เคยนึกถึงมันบ้างไหมต้องมีความสามัคคีกันต้องช่วยเหลือกันยามลำบากเราเคยลองถามตัวเองไหมว่าเราได้เคยให้อะไรแก่สังคมบ้างหรือเป็นแค่ผู้หาเอาแต่ประโยชน์จากสังคมเท่านั้น
ผู้คนในสังคมสมัยนี้มักจะมองกันที่เปลือกนอกมองกันที่การแต่งตัวนับถือเถิดทูนบุคคลกันแค่เพียงวัตถุและเงินทองจนบางครั้งก็มองข้ามจิตใจที่อยู่ภายในและนิสัยที่แท้จริงของแต่ละคนเคารพกันแบบฉาบฉวยหรือยศที่น้อยกว่าตนแล้วเราเคยมองย้อนกลับมาที่ตัวเองบ้างไหมว่าจิตใจของเรานั้นมันสะอาดสวยงามเหมือนกับเสื้อผ้าที่เราสวมใส่หรือเปล่าน่าแปลกที่เราอาศัยอยู่ในเมืองพุทธแต่กลับถูกความมืดครอบงำจิตใจได้ง่าย
ทางกลุ่มของพวกเราจึงคิดว่าการที่คนในสังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขต้องมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อส่วนรวมและรู้จักสร้างประโยชน์ให้กับสังคมเพราะเป็นสถานที่ที่เผยแผ่ศาสนาและพระธรรมคำสอนเพื่อให้คนในสังคมได้นำเอาใช้ในชีวิตประจำวันและวัดยังเป็นศาสนสถานที่มีผลต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชนอีกด้วยเราจึงควรช่วยกันทำนุบำรุงศาสนาศาสนสถานโดยสมาชิกในกลุ่มของเราทุกคนได้เล็งเห็นว่าควรจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาสถานที่ภายในวัดให้สะอาดร่มเย็นเหมาะแก่การไปนั่งทำสมาธิหรือพักผ่อนจิตใจนอกเหนือจากการที่จะไปวัดเพียงแค่เข้าร่วมกิจกรรมวันสำคัญทางศาสนา