แม้ว่าท้ายที่สุดการปะทะกันระหว่างขบวนการเสรีไทยกับกองทัพญี่ปุ่นไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เมื่อวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นดำเนินการโดยกองกำลังสัมพันธมิตร แม้ว่าไทยจะร่วมกับญี่ปุ่นในการประกาศสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งอาจจะต้องถูกปลดอาวุธและถูกยึดครองในฐานะผู้แพ้สงคราม แต่ปรากฏว่าในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 นายปรีดี พนมยงค์ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ประกาศสันติภาพ มีสาระสำคัญว่าการประกาศสงครามต่อสหรัฐฯ และอังกฤษตลอดจนการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งปวงผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทยและขัดกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง การประกาศสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย ประเทศไทยได้ตัดสินใจที่จะให้กลับคืนมาซึ่งสัมพันธไมตรีอันดีอันเคยมีมากับนานาประเทศเหมือนเมื่อก่อนวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 และพร้อมที่จะร่วมมือเต็มที่ทุกทางกับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพในโลกนี้
การประกาศสันติภาพนี้ได้ดำเนินการตามโทรเลขให้คำแนะนำจากจอมพลเรือลอร์ดหลุยส์ เมาน์ทแบทเตน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลอังกฤษให้แจ้งแก่นายปรีดีว่าถ้าหากกระทำตามคำแนะนำของเมาน์ทแบทเตนแล้ว อังกฤษก็พร้อมที่จะไม่บังคับให้ไทยต้องยอมจำนนอย่างปราศจากเงื่อนไข ดุจเดียวกับการปฏิบัติต่อประเทศผู้แพ้สงคราม[22] ทั้งหมดนี้คือผลสำเร็จโดยสมบูรณ์ของขบวนการเสรีไทยภายใต้การนำของนายปรีดี พนมยงค์ นั่นคือไทยไม่เสียเอกราชและอธิปไตย ไม่ต้องยอมจำนน ไม่ต้องวางอาวุธ และไม่ต้องถูกยึดครอง สำหรับการที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายรวมทั้งการต้องคืนดินแดนที่ญี่ปุ่นมอบให้ทั้งทางด้านมลายูและทางด้านสหรัฐไทยใหญ่ ก็ต้องถือเป็นเรื่องที่สมควร เพราะความเสียหายของสัมพันธมิตรก็ดี และดินแดนที่ไทยได้มาระหว่างสงครามก็ดี เป็นผลจากการที่ไทยเข้าร่วมมือเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่มีน้ำหนักที่สุดที่ทำให้ไทยไม่ตกเป็นผู้แพ้สงครามเช่นเดียวกับญี่ปุ่นคือปฏิบัติการที่ได้รับความร่วมมืออย่างลับ ๆ ของเสรีไทยกับฝ่ายสัมพันธมิตรในด้านการทหาร ทำให้ไทยมีอำนาจต่อรองในการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรหลังสงครามยุติ โดยสหรัฐอเมริกาถือว่าไทยไม่เคยประกาศสงครามต่อประเทศของตน เพราะทางเอกอัครราชทูตไม่ได้ปฏิบัติตามรัฐบาลและไม่ได้ยื่นจดหมายประกาศสงครามให้กับฝ่ายอเมริกา การดำเนินงานของเสรีไทยเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สัมพันธมิตรคืออเมริกาสนับสนุนไม่ให้ไทยต้องแพ้สงคราม แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเมืองระหว่างประเทศที่อเมริกาต้องการเข้ามามีอำนาจในภูมิภาคเอเชียแทนอังกฤษและชาติในยุโรปที่เสียหายจากสงครามมาก จนไม่สามารถรักษาอาณานิคมอยู่ได้จนเป็นการสิ้นสุดยุคอาณานิคม โดยมีสหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นมหาอำนาจของโลกแทน
ขณะที่อังกฤษดำเนินนโยบายต่อไทยแตกต่างไปจากสหรัฐอเมริกา ถือว่าไทยแพ้สงครามเช่นเดียวกับญี่ปุ่นและต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้กับอังกฤษ รวมทั้งถูกปฏิบัติเหมือนผู้แพ้สงครามก็คือต้องมีการปลดอาวุธทหาร แต่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้แสดงเจตนาชัดเจนตามกฎบัตรแอตแลนติกที่ต้องการให้อังกฤษปรับท่าทีให้ผ่อนปรนกับประเทศไทย โดยจะต้องคงความเป็นอธิปไตยและเอกราชเอาไว้ โดยหลังสงครามไทยได้เจรจายุติสงครามกับอังกฤษและต้องตกลงทำสัญญาชดใช้ค่าเสียหายแก่อังกฤษ โดยหลักคือไทยต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นข้าวจำนวนมาก[23] จนทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนข้าวภายในประเทศจนเป็นปัญหาการเมืองภายในต่อมา