Artillery was another important, bu

Artillery was another important, but expensive, element in the Renaissance prince's army. Smaller and more mobile cannons were made for use in pitched battles as well as sieges. There was no standardization in the Renaissance artillery corps, each cannon being made by an independent contractor. The French, with Europe's best artillery, had 17 separate gauges of artillery requiring 17 different sizes of shot. The Hapsburg emperor, Charles V, had 50 different gauges. Obviously, this could create untold confusion in the heat of battle.

The advent of artillery made the tall thin walls of medieval castles obsolete, since they were so easily breached by cannons' firepower. However, this did not make fortifications obsolete. By the early 1500's, a new style of fortifications, the trace Italienne, was coming into use and slowing down, if not stopping artillery. These new fortifications were much thicker and more elaborate than their medieval predecessors, having multiple sets of walls, moats, and bastions set at different angles to one another to provide flanking fire from various directions against any enemy assaults. As with muskets and artillery, these new forts were so expensive that only kings could afford them or, more properly, afford to go into debt to bankers to buy them. And, by the same token, this increased the kings' power and put any rebellious nobles more at the kings' mercy.

This new type of warfare and army showed the beginnings of some aspects we associate with modern warfare. For one thing, it was expensive because of the size of its armies and the new technology. It was also very destructive to the inhabitants who were unlucky enough to be in the path of these plundering mercenaries and their hordes of camp followers. The seventeenth century general, Albrecht von Wallenstein, once said he could better support an army of 50,00 than one of 20,000 since it could more effectively plunder the countryside. This says a lot about supplying such armies and its effect on military strategy: fight in the enemy's territory and make him pay for the war. Finally, the new warfare was much bloodier than the medieval warfare that preceded it. We find nobles complaining because any low born peasant with a small amount of training and a gun could blow them out of the saddle. Even more significantly, the humanists condemned warfare for its bloodiness, no matter to what class. Throughout the modern era, that outcry has slowly gained force with the growing destructiveness of warfare.

The Church was still the largest single landholder in Western Europe, making it mandatory for kings to control this vital source of revenue and propaganda. Luckily for the kings, the Church's power and prestige were seriously weakened by the popular discontent and corruption that climaxed with the Great Schism. In France, kings had gained the loyalty of the local clergy against the Italian higher clergy appointed by the popes and won their struggle to rule the French clergy in the Pragmatic Sanction of Bourges in 1438. This recognized the king's claim to the Gallican Liberties, transferring the direct loyalty of the French clergy from the pope to their king.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ปืนใหญ่มีองค์ประกอบสำคัญ แต่ราคา แพง กองทัพของเจ้าชายเรอเนสซองซ์อื่น ปืนใหญ่ขนาดเล็ก และเคลื่อนที่ขึ้นมีไว้สำหรับใช้ใน pitched สงครามล้อมกรุง ไม่มีมาตรฐานในหน่วยโรงปืนใหญ่ ปืนใหญ่แต่ละการทำ โดยมีผู้รับเหมาอิสระได้ ฝรั่งเศส กับปืนใหญ่สุดของยุโรป มาตรวัดแยก 17 ของปืนต้องยิง 17 ขนาดแตกต่างกันได้ จักรพรรดิ Hapsburg ชาร์ลส์ V มีมาตรวัดต่าง ๆ 50 อย่างชัดเจน นี้สามารถสร้างความสับสนแห่งความร้อนรบเอาปืนใหญ่ได้กำแพงปราสาทยุคกลางบางสูงล้าสมัย เนื่องจากพวกเขาเพื่อได้อย่างง่ายดายถูกพอ โดยอาวุธปืนของ อย่างไรก็ตาม นี้ไม่ได้ทำระบบป้อมปราการล้าสมัย โดย 1500's ต้น แบบใหม่ของระบบป้อมปราการ Italienne การติดตามมาเข้าใช้ และช้าลง ถ้า ไม่หยุดปืนใหญ่ ระบบป้อมปราการเหล่านี้ใหม่ถูกมากหนา และประณีตยิ่งกว่าบรรดาลูกหลานยุคกลาง มีหลายชุดของผนัง ฮันนี้ และ bastions ที่ตั้งในมุมที่แตกต่างอื่นให้ไฟ flanking จากทิศต่าง ๆ กับการโจมตีศัตรู ป้อมปราการเหล่านี้ใหม่ก็ไม่คุ้มว่า พระมหากษัตริย์เท่านั้นไม่สามารถ หรือ เพิ่มเติมได้อย่างถูกต้อง สามารถไปเป็นหนี้ธนาคารการซื้อ ด้วย muskets และปืนใหญ่ ก โดย token เดียวกัน ซึ่งเพิ่มอำนาจของพระมหากษัตริย์ และนำขุนนาง rebellious ใด ๆ เพิ่มเติมในความเมตตาของพระมหากษัตริย์ชนิดนี้ใหม่สงครามและกองทัพแสดงจุดเริ่มต้นของบางส่วนที่เราเชื่อมโยงกับสงครามสมัยใหม่ สำหรับสิ่งหนึ่ง ได้มีราคาแพงเนื่องจากขนาดของกองทัพและเทคโนโลยีใหม่ นอกจากนี้ยังถูกทำลายมากให้คนที่ไปพอที่จะอยู่ในเส้นทางของทหารรับจ้างเหล่านี้ plundering และพยุหะของค่ายผู้ติดตาม Seventeenth ศตวรรษทั่วไป อัลฟอน Wallenstein เมื่อกล่าวว่า เขาสามารถสนับสนุนกองทัพของ 50,00 กว่า 20000 อย่างใดอย่างหนึ่งเนื่องจากมันมีประสิทธิภาพมากขึ้นสามารถปล้นสะดมชนบท นี้พูดมากเกี่ยวกับขายกองทัพดังกล่าวและผลของกลยุทธ์ทางทหาร: ต่อสู้ในดินแดนของศัตรู และทำให้เขาจ่ายสำหรับสงคราม สุดท้าย สงครามใหม่ถูกมาก bloodier กว่าสงครามยุคกลางที่นำหน้ามัน เราพบขุนนางบ่นเนื่องจากชาวนาใด ๆ เกิดต่ำ มีจำนวนเล็กน้อยอบรมและปืนสามารถระเบิดได้จากอาน ได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ humanists ที่ประณามสงครามสำหรับของ bloodiness ไม่ว่าชั้นใด ตลอดยุคสมัย outcry ที่ได้ช้ารับแรง ด้วย destructiveness เจริญเติบโตของสงครามคริสตจักรยังคงถูกใหญ่ที่สุดเดียว landholder ในยุโรปตะวันตก การบังคับพระมหากษัตริย์ในการควบคุมนี้แหล่งสำคัญของรายได้และการโฆษณาชวนเชื่อ โชคดีพระมหากษัตริย์ อำนาจและศักดิ์ศรีของคริสตจักรได้อย่างจริงจังลดลงรู้สึกไม่พอใจและความเสียหายที่ climaxed กับแตกแยกดี ในฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ได้รับสมาชิกของเคลอจีเฉพาะกับอิตาลีสูงอาศัยพระสงฆ์แต่งตั้งจากพระสันตะปาปา และชนะการต่อสู้กฎเคลอจีฝรั่งเศสใน Pragmatic ไปเสร็จใน 1438 นี่รู้จักพระร้องเสรีภาพ Gallican โอนสมาชิกโดยตรงของเคลอจีฝรั่งเศสจากสมเด็จพระสันตะปาปากษัตริย์ของพวกเขา

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ปืนใหญ่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ แต่ราคาแพงองค์ประกอบในกองทัพของเจ้าชายเรเนซองส์ ปืนมือถือที่มีขนาดเล็กและอื่น ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการต่อสู้แหลมเช่นเดียวกับการล้อม มีมาตรฐานในกองพลปืนใหญ่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาไม่ได้แต่ละปืนใหญ่ถูกสร้างโดยผู้รับเหมาอิสระ ฝรั่งเศสกับปืนใหญ่ของยุโรปที่ดีที่สุดมี 17 เกจที่แยกต่างหากจากปืนใหญ่ที่ต้องใช้ 17 ขนาดแตกต่างกันของการยิง จักรพรรดิ Hapsburg, ชาร์ลส์มี 50 เกจที่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่านี้อาจสร้างความสับสนได้บอกเล่าในความร้อนของการต่อสู้. แอดเวนต์ของปืนใหญ่ทำผนังบางสูงของปราสาทยุคกลางล้าสมัยเนื่องจากพวกเขาถูกละเมิดได้อย่างง่ายดายโดยอาวุธปืน ' แต่นี้ไม่ได้ทำให้ปราการล้าสมัย โดยในช่วงต้น 1500 ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของป้อมปราการร่องรอย Italienne ก็เข้ามาในการใช้งานและการชะลอตัวลงหากไม่หยุดการยิงปืนใหญ่ ป้อมปราการใหม่เหล่านี้มีมากหนาและซับซ้อนมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนในยุคกลางของพวกเขามีหลายชุดของผนัง, คูเมืองและปราการตั้งอยู่ที่มุมที่แตกต่างกับคนอื่นเพื่อให้ประกบยิงจากทิศทางต่างๆข่มขืนกับศัตรู เช่นเดียวกับปืนและปืนใหญ่ป้อมใหม่เหล่านี้มีราคาแพงเพื่อให้เฉพาะพระมหากษัตริย์สามารถจ่ายได้หรือมากกว่าอย่างถูกต้องที่จะไปเป็นหนี้ธนาคารจะซื้อพวกเขา และโดยในทำนองเดียวกันนี้เพิ่มอำนาจและใส่ขุนนางกบฏใด ๆ เพิ่มเติมได้ที่พระมหากษัตริย์ 'กษัตริย์เมตตา. นี้ชนิดใหม่ของสงครามและกองทัพแสดงให้เห็นจุดเริ่มต้นของบางแง่มุมที่เราเชื่อมโยงกับสงครามสมัยใหม่ สำหรับสิ่งหนึ่งที่มันแพงเพราะขนาดของกองทัพและเทคโนโลยีใหม่ มันก็ยังเป็นอันตรายมากที่อาศัยอยู่ที่โชคร้ายพอที่จะเป็นในเส้นทางของทหารรับจ้างเหล่านี้ปล้นและพยุหะของผู้ติดตามค่าย ในศตวรรษที่สิบเจ็ดทั่วไป Albrecht ฟอน Wallenstein เมื่อบอกว่าเขาดีกว่าที่จะสนับสนุนกองทัพของ 50,00 กว่า 20,000 เพราะมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอาจปล้นชนบท นี้กล่าวมากเกี่ยวกับการจัดหากองทัพดังกล่าวและผลกระทบต่อกลยุทธ์ทางทหาร: ต่อสู้ในดินแดนของศัตรูและทำให้เขาจ่ายสำหรับสงคราม ในที่สุดสงครามใหม่มาก bloodier กว่าสงครามยุคกลางที่นำมัน เราพบขุนนางบ่นเพราะชาวนาใด ๆ เกิดต่ำที่มีจำนวนเล็ก ๆ ของการฝึกอบรมและปืนสามารถเป่าพวกเขาออกจากอาน มากยิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมานุษยวิทยาประณามสงครามสำหรับความกระหายเลือดของมันไม่ว่าสิ่งที่ไม่มีชั้น ตลอดยุคสมัยใหม่ร้องที่ได้รับช้ามีผลบังคับใช้กับการทำลายล้างที่เพิ่มขึ้นของสงคราม. คริสตจักรก็ยังคงชดเชยเดียวที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตกทำให้มันบังคับสำหรับพระมหากษัตริย์ในการควบคุมแหล่งสำคัญของรายได้และการโฆษณาชวนเชื่อ โชคดีสำหรับกษัตริย์อำนาจของโบสถ์และศักดิ์ศรีได้รับการลดลงอย่างจริงจังโดยไม่พอใจที่นิยมและการทุจริตที่ถึงจุดสุดยอดกับความแตกแยก ในประเทศฝรั่งเศส, พระมหากษัตริย์ได้รับความภักดีของพระสงฆ์ในท้องถิ่นกับอิตาลีพระสงฆ์ที่สูงขึ้นได้รับการแต่งตั้งโดยพระสันตะปาปาและได้รับรางวัลการต่อสู้ของพวกเขาในการปกครองคณะสงฆ์ในฝรั่งเศสเน้นการอนุมัติของบูร์ชใน 1438. นี้ได้รับการยอมรับการเรียกร้องของกษัตริย์ไปยังฝรั่งเศสเสรีภาพการถ่ายโอน ความจงรักภักดีโดยตรงของพระสงฆ์จากฝรั่งเศสสมเด็จพระสันตะปาปาเพื่อกษัตริย์ของพวกเขา