be comes whether the average behavi

be comes whether the average behavior in agroup affects the behavior of the individualsin that particular group. Manski (1993,1995), Becker (1996), Brock & Durlauf(2001), Glaeser & Scheinkman (2001) hypothesizedthat an increase in the prevalence of a given behavior at the peer level may lead to an increased probability of such behavior
(such as crime, educational outcomes, teen pregnancy, substance use, etc.) at the individual youth level. According to Chassin (1985), peer influences are important to smoking intention and maintenance. Sin’s findings showed the new evidence that compared with best friend as well as family members were found to be the factor that had a higher role in influencing juvenile smoking propensity. (Sin, 1997). Similarly, Pechmann & Knight (2002) found that peer group influence provides a stimulus for teenagers to have an intention to smoke because it creates a positive stereotype. Therefore, for this research the hypothesis 1 is formulated as follows: H1: Peers’ influence has positive relation with teenagers to have an intention to smoke

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เป็นมาไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมโดยเฉลี่ยใน agroup ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของ individualsin ว่ากลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Manski (1993,1995), เบคเกอร์ (1996), บร็อค& durlauf (2001), Glaeser & scheinkman (2001) hypothesizedthat การเพิ่มขึ้นของความชุกของพฤติกรรมที่กำหนดในระดับที่เพียร์อาจนำไปสู่​​ความน่าจะเป็นที่เพิ่มขึ้นของพฤติกรรมดังกล่าว
( เช่นอาชญากรรมผลการศึกษาการตั้งครรภ์วัยรุ่นใช้สารเสพติดและอื่น ๆ ) ในระดับเยาวชนของแต่ละบุคคล ตาม Chassin (1985) อิทธิพลของเพียร์มีความสำคัญต่อความตั้งใจของการสูบบุหรี่และการบำรุงรักษา ผลการวิจัยแสดงให้เห็นบาปหลักฐานใหม่ที่เมื่อเทียบกับเพื่อนที่ดีที่สุดเช่นเดียวกับสมาชิกในครอบครัวพบว่ามีปัจจัยที่มีบทบาทสูงในการที่มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนสูบบุหรี่นิสัยชอบ (บาป, 1997) ในทำนองเดียวกันPechmann &อัศวิน (2002) พบว่ามีอิทธิพลต่อกลุ่มเพื่อนให้แรงบันดาลใจสำหรับวัยรุ่นที่จะมีความตั้งใจที่จะสูบบุหรี่เพราะมันจะสร้างทัศนคติเชิงบวก ดังนั้นสำหรับงานวิจัยนี้สมมติฐานที่ 1 เป็นสูตรดังนี้ h1: อิทธิพลของเพื่อนร่วมงาน 'มีความสัมพันธ์ที่ดีกับวัยรุ่นที่จะมีความตั้งใจที่จะสูบบุหรี่

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

จะมาว่าลักษณะการทำงานเฉลี่ยใน agroup มีผลต่อลักษณะการทำงานของ individualsin ในกลุ่มที่เฉพาะ Manski (1993,1995), Becker (1996) อม& Durlauf(2001), Glaeser & Scheinkman (2001) hypothesizedthat การเพิ่มขึ้นของความชุกของพฤติกรรมกำหนดระดับเพียร์อาจนำไปสู่ความน่าเป็นการเพิ่มขึ้นของพฤติกรรมดังกล่าว
(เช่นอาชญากรรม ผลการศึกษา วัยรุ่นตั้ง ครรภ์ ใช้สาร ฯลฯ) ระดับเยาวชนแต่ละ ตาม Chassin (1985), อิทธิพลของเพื่อนมีความสำคัญตั้งใจสูบบุหรี่และการบำรุงรักษา ผลบาปของการวิจัยพบว่า พบหลักฐานใหม่ที่เปรียบเทียบกับเพื่อนรวมทั้งสมาชิกในครอบครัว เป็น ปัจจัยที่มีบทบาทสูงในการมีอิทธิพลต่อการสูบบุหรี่ของเยาวชนสิ่ง (บาป 1997) ในทำนองเดียวกัน Pechmann &อัศวิน (2002) พบว่ากลุ่มเพื่อนมีผลให้กระตุ้นสำหรับวัยรุ่นมีความตั้งใจสูบ เพราะเป็นสร้างภาพพจน์ที่บวก ดังนั้น สำหรับงานวิจัยนี้ สมมติฐาน 1 มีสูตรดังนี้: H1: อิทธิพลของเพื่อนมีความสัมพันธ์ทางบวกกับวัยรุ่นมีความตั้งใจสูบ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ไม่ว่าจะเป็นมาพร้อมกับการทำงานโดยเฉลี่ยใน agroup มีผลต่อพฤติกรรมของ individualsin ที่กลุ่มใดกลุ่ม manski ( 1993,1995 ),แกรี่เบคเคอร์( 1996 ), brock & durlauf ( 2001 ), glaeser & scheinkman ( 2001 ) hypothesizedthat ที่เพิ่มขึ้นในขณะเดียวกันการที่ได้รับการทำงานที่ระดับ Peer อาจนำไปสู่การที่เพิ่มขึ้นความเป็นไปได้ของการ
(เช่นอาชญากรรม,การศึกษาผลลัพธ์,กลุ่มวัยรุ่นการตั้ง ครรภ์ ,การใช้สารฯลฯ)ในระดับเยาวชนแต่ละคนได้. ตาม chassin (; Spark , 1985 )มีอิทธิพลต่อ peer มีความสำคัญต่อการบำรุงรักษาและความตั้งใจแบบปลอดบุหรี่ จากการสำรวจของเครื่องบูชาไถ่บาปแสดงให้เห็นหลักฐานใหม่ที่เมื่อเทียบกับกับเพื่อนที่ดีที่สุดและสมาชิกในครอบครัวพบว่ามีปัจจัยที่มีบทบาทสูงในการชักจูงที่โน้มเอียงเยาวชนแบบปลอดบุหรี่ (เครื่องบูชาไถ่บาป 1997 ) ในทำนองเดียวกันpechmann &อัศวิน( 2002 )พบว่ามีอิทธิพลต่อกลุ่ม Peer ช่วยให้กระตุ้นให้สำหรับวัยรุ่นจะมีความตั้งใจที่จะสูบบุหรี่เพราะมันจะสร้างเพียงเพราะอคติเหล่านั้นหรอกในเชิงบวก ดังนั้นสำหรับการวิจัยนี้ข้อสมมุติฐาน 1 ที่ถูกกำหนดขึ้นโดยมีรายละเอียดดังนี้ H 1 มีอิทธิพลของเครื่องลูกข่ายมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับวัยรุ่นจะมีความตั้งใจที่จะมี ควัน