During the 19th century, the Brunei

During the 19th century, the Bruneian Empire began to decline. The Sultanate ceded Sarawak (Kuching) to James Brooke and installed him as the White Rajah, and it ceded Sabah to the British North Borneo Chartered Company. In 1888, Brunei became a British protectorate and was assigned a British resident as colonial manager in 1906. After the Japanese occupation during World War II, in 1959 a new constitution was written. In 1962, a small armed rebellion against the monarchy was ended with the help of the British.[10]

Brunei gained its independence from the United Kingdom on 1 January 1984. Economic growth during the 1990s and 2000s, averaging 56% from 1999 to 2008, transformed Brunei into an industrialised country. It has developed wealth from extensive petroleum and natural gas fields. Brunei has the second-highest Human Development Index among the Southeast Asia nations, after Singapore, and is classified as a "developed country".[11] According to the International Monetary Fund (IMF), Brunei is ranked fifth in the world by gross domestic product per capita at purchasing power parity. The IMF estimated, in 2011, that Brunei was one of two countries (the other being Libya) with a public debt at 0% of the national GDP. Forbes also ranks Brunei as the fifth-richest nation out of 182, based on its petroleum and natural gas fields.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา จักรวรรดิบรูไนเริ่มจะลดลง สุลต่านรับประกันภัยซาราวัค (คูชิง) James บรูค และติดตั้งเขาเป็นราจาห์ขาว และจะรับประกันภัยซาบาห์บริติชนอร์ทบอร์เนียวดชาร์ บริษัท ใน 1888 บรูไนกลายเป็น รัฐในอารักขาบริติช และถูกกำหนดให้มีอังกฤษเป็นผู้จัดการโคโลเนียลใน 1906 หลังจากญี่ปุ่นยึดครองในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง 1959 ใน รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถูกเขียน ในปี 1962 เป็นกบฏติดอาวุธขนาดเล็กกับพระมหากษัตริย์สิ้นสุด ด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ [10]บรูไนได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรบน 1 1984 มกราคม เติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงปี 1990 และ 2000s การหาค่าเฉลี่ย 56% จากปี 1999 ถึง 2551 เปลี่ยนบรูไนเป็นประเทศที่ industrialised มันได้พัฒนาให้เลือกมากมายจากหลากหลายสาขาปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ บรูไนมีที่สองสูงสุดดัชนีการพัฒนามนุษย์ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากสิงคโปร์ และถูกจัดประเภทเป็น "ประเทศพัฒนาแล้ว" [11] ตามการนานาชาติเงินกองทุน (IMF), บรูไนเป็นอันดับห้าของโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อ capita ที่เท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ IMF ประมาณ 2554 ที่บรูไนเป็นหนึ่งในสองประเทศ (อื่น ๆ ลิเบีย) มีหนี้สาธารณะที่ 0% ของ GDP ประเทศ Forbes จัดอันดับบรูไนยังประเทศห้ารวยที่สุดจาก 182 ตามฟิลด์ของปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในช่วงศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิบรูไนเริ่มลดลง สุลต่านยกซาราวัก (Kuching) เพื่อบรูคเจมส์และติดตั้งเขาเป็นสีขาวราชาและยกให้ซาบาห์อังกฤษบอร์เนียวเหนือ บริษัท ชาร์เตอร์ด ในปี 1888 บรูไนกลายเป็นอารักขาของอังกฤษและได้รับมอบหมายมีถิ่นที่อยู่ของอังกฤษในฐานะผู้จัดการอาณานิคมในปี 1906 หลังจากการยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1959 รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถูกเขียนขึ้น ในปี 1962 การจลาจลติดอาวุธขนาดเล็กกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จบลงด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ. [10] บรูไนได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรวันที่ 1 มกราคม 1984 การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงปี 1990 และ 2000 เฉลี่ย 56% 1999-2008 เปลี่ยนบรูไนเป็นประเทศอุตสาหกรรม มันได้มีการพัฒนาความมั่งคั่งจากปิโตรเลียมที่กว้างขวางและก๊าซธรรมชาติ บรูไนมีสองที่สูงที่สุดดัชนีการพัฒนามนุษย์ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังจากที่สิงคโปร์และจัดเป็น "ประเทศพัฒนาแล้ว". [11] ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) บรูไนเป็นอันดับที่ห้าในโลกโดยขั้นต้น ผลิตภัณฑ์ในประเทศต่อหัวที่เท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ กองทุนการเงินระหว่างประเทศประมาณในปี 2011 ที่ประเทศบรูไนเป็นหนึ่งในสองประเทศ (อีกคนลิเบีย) ที่มีหนี้สาธารณะที่ 0% ของ GDP ของประเทศ ฟอร์บยังจัดอันดับบรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดที่ห้าจาก 182 ขึ้นอยู่กับน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในช่วงศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิบรูไนเริ่มลดลง สุลต่านยกให้ซาราวัก ( Kuching ) เจมส์ บรูค และ ติดตั้ง เขาเป็นราชาสีขาว และยกให้ซาบาห์ในเกาะบอร์เนียวเหนืออังกฤษเช่าบริษัท ใน 1888 บรูไนเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ และถูกมอบหมายให้อังกฤษเป็นผู้จัดการประจำอาณานิคม 1906 หลังจากญี่ปุ่นยึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1959 รัฐธรรมนูญใหม่ถูกเขียนไว้ 1962 ขนาดเล็กอาวุธต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จบลงด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ [ 10 ]

บรูไนได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2527 การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงปี 1990 และ 2000 , เฉลี่ย 56 % จากปี 2551 เปลี่ยนบรูไนเป็นประเทศอุตสาหกรรม ประเทศมันได้พัฒนาความมั่งคั่งด้านปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติอย่างละเอียด บรูไนมีสูงสุดที่สองดัชนีการพัฒนามนุษย์ในกลุ่มประเทศ เอเชีย จากสิงคโปร์ และจัดเป็น " ชาติพัฒนา " [ 11 ] ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( ไอเอ็มเอฟ ) , บรูไน คือ อยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวในอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย . กองทุนการเงินระหว่างประเทศประมาณใน 2011 , ที่บรูไนเป็นหนึ่งในสองประเทศ ( อื่น ๆถูกลิเบีย ) กับหนี้สาธารณะที่ 0 % ของจีดีพีประเทศ ฟอร์บยังจัดอันดับบรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดที่ 5 จาก 182 , ขึ้นอยู่กับเขตข้อมูลน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ