ประวัติความเป็นมาของปราสาทผึ้ง (สกลนคร)ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหว การแปล - ประวัติความเป็นมาของปราสาทผึ้ง (สกลนคร)ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหว ไทย วิธีการพูด

ประวัติความเป็นมาของปราสาทผึ้ง (สกล

ประวัติความเป็นมาของปราสาทผึ้ง (สกลนคร)



ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัด สกลนคร ช่วงเวลา เทศกาลวันออกพรรษา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ความสำคัญ งานแห่ปราสาทผึ้งในเทศกาลออกพรรษาของชาวอีสาน แม้ว่าจะมีอยู่ทั่วไปในหลายจังหวัด แต่ก็ไม่จัดใหญ่โตและปฏิบัติต่อเนื่องเช่นของเมืองสกลนคร การพัฒนารูปแบบปราสาททรงโบราณเป็นทรงตะลุ่ม ทรงหอผึ้งแบบโบราณยังไม่พัฒนาเป็นรูปทรงปราสาทผึ้งดังกล่าวย่อมเกิดแง่คิดใน หลายประเด็น โดยเฉพาะในด้านรูปแบบและเนื้อหา ว่ามีการอนุรักษ์ประยุกต์ดัดแปลงหรือสร้างใหม่อย่างไร ประเด็นดังกล่าวไม่ควรข้ามไป เพื่อความเข้าใจจึงขอนำเรื่องราวของปราสาทผึ้งมารื้อฟื้นให้ทบทวนกันโดยสรุป ย่อ ดังนี้ ๑ ยุคต้นผึ้ง - หอผึ้ง ชาวอีสานในบางท้องถิ่นที่เชื่อกันว่า การทำต้นผึ้ง ดอกผึ้ง ทำเพื่อเป็นพุทธบูชาให้กุศลแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นเมื่อมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงในหมู่บ้านถึงแก่วายชนม์ลงจึงพากันไปช่วยงานศพ (งานเฮือนดี) เท่าที่จะช่วยงานได้ ดังมีคำกล่าวว่า "ผู้หญิงห่อข้าวต้ม ตัดตอก บีบข้าวปุ้น ผู้ชายหักหอผึ้ง" คำว่า หักหอผึ้ง ก็คือ การหักตอกทำต้นผึ้งนั่นเอง กล่าวกันว่าในการไปช่วยงานศพ หรืองานบุญแจกข้าวนั้นผู้ชายจะต้องนำพร้าติดตัวมาด้วย ทั้งนี้เพราะใช้ทำงานทุกอย่างนับแต่ ถากไม้ตัดฟืนและจักตอกทำต้นผึ้ง หอผึ้ง ต้นผึ้ง ทำจากต้นกล้วยขนาดเล็ก ตัดให้ยาวพอสมควร แต่งลำต้น ก้านทำขาหยั่งสามขาให้ยึดต้นกล้วยเข้าไว้เพื่อตั้งได้ จากนั้นจะนำขี้ผึ้งมาเคี่ยวให้หลอมเหลวเพื่อใส่ลงในแม่พิมพ์ แม่พิมพ์ทำจากผลไม้ เช่น ผลสิมลี (สิมพี ส้มพอดี โพธิสะเล) นอกจากนี้ยังอาจให้ผลมะละกอขนาดเล็กคว้านภายในแต่งให้เป็นดอกเป็นแฉกตามต้อง การ จากนั้นก็นำมาพิมพ์จุ่มขี้ผึ้งแล้วยกขึ้น นำไปแช่น้ำ ขี้ผึ้งจะหลุดออกจากพิมพ์เป็นดอกดวงตามแบบแม่พิมพ์ ก่อนนำดอกผึ้งไปติดที่ก้านกล้วย ต้นกล้วย ช่างทำต้นผึ้งจะหั่นหัวขมิ้นให้เป็นแว่นกลมใช้ไม้กลัดเสียบแว่นขมิ้นรองดอก ผึ้ง เพื่อมิให้ดอกผึ้งอ่อนตัวจนเสียรูปทรง การทำต้นผึ้ง จะทำให้เสร็จก่อนวันเก็บอัฐิธาตุผู้ตาย ในวันเก็บอัฐิ ญาติพี่น้องจะนำต้นผึ้งไปด้วย หลังจากใช้ก้านกล้วยคีบอัฐิมาทำเป็นรูปคนกลับธาตุ ก็จะนำต้นผึ้งมาวางที่กองอัฐิ พระสงฆ์ชักบังสุกุลกลบธาตุ ก่อนที่จะนำอัฐิไปบรรจุในสานที่อันเหมาะสมต่อไป ต้นผึ้งจึงให้เพื่อพิธีกรรมดังกล่าว หอผึ้งมีความเกี่ยวพันกับต้นผึ้งอย่างใกล้ชิด และเป็นต้นกำเนิดของการแห่ปราสาทผึ้งในปัจจุบัน หอผึ้งมีลักษณะเป็นทรงตะลุ่ม ทำโครงด้วยไม้ไผ่ จักตอกผูกเสริมด้วยกาบกล้วย ก้านกล้วย โครงหอผึ้งจะทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม ๒ ชั้นต่อกัน คล้ายเอวขันหรือเอวพานภายในโครงไม้จะโปร่ง เพื่อให้บรรจุเครื่องอัฐบริขารได้ทั้ง ๒ ชั้น เป็นที่สังเกตว่าหอผึ้งจะมี ๒ รูปแบบ ต่างกันเล็กน้อย คือ บางแห่งทำหอ ๒ ชั้น มีขนาดไล่เรี่ยกันแต่บางแห่งทำชั้นล่างใหญ่ กว้าง ชั้นบนเหนือเอวขันทำทรงขนาดเล็กให้รับกับฐานล่าง ให้ดูพองาม การประดับหอผึ้ง ยังนิยมประดับดอกผึ้งตามโครงกาบกล้วย ก้านกล้วยแม้จะมีการแทงหยวกเป็นลวดลายบ้างแล้ว ก็ยังไม่เน้นความงดงามของลายหยวกกล้วยเป็นสำคัญ หอผึ้งดังกล่าวจะทำให้เป็นคานหาม เพื่อใช้แห่ไปถวายวัด ส่วนประกอบสำคัญยังเป็นโครงซึ่งทำด้วยตอกไม้ไผ่อยู่ จึงยังเรียกการทำหอผึ้ง แต่เดิมก็ยังคงทำควบคู่ไปกับการทำต้นผึ้ง กล่าวคือ ประเพณีชาวอีสาน ถือว่า เมื่อถึงวันทำบุญ ถวายทานแก่ผู้ตายในงานแจกข้าว เมื่อถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์แล้ว ก็ถวายหอผึ้งเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้วายชนม์ ดังมีคำถวายถึงปราสาทผึ้งตอนหนึ่งว่า "…อิมานะ มะยังภัณเต มธุบุปผะ ปะสาทัง" แม้ว่าการถวายหอผึ้ง จะกระทำอยู่ในงานแจกข้าว แต่ชาวอีสานในหมู่บ้านต่าง ๆ ก็ยังถือว่า ควรจัดงานอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ ในช่วงวันออกพรรษาดังนั้นจึงนิยมหากิ่งไม้ หนามไผ่ มาสุมบริเวณที่เผาศพ มิให้สัตว์มาขุดคุ้ย พร้อมปักไม้กั้นรั้วคอกไว้ เมื่อออกพรรษา วันมหาปวารณาจึงทำบุญแจกข้าว โดยเลือกเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือ แรม ๑ ค่ำ ในเวลาเย็นจึงทำพิธีแจกข้าว พอถึงเวลาเย็น ชาวบ้านจึงแห่หอผึ้งไปยังวัดที่กำหนด ตำบลหนึ่งมักกำหนดวัดสำคัญ ๆ เป็นที่หมาย ชาวบ้านจะสร้างตูบผาม ปะรำพิธีไว้รับขบวนแห่ ซึ่งประกอบด้วย ๑. ขบวนฆ้อง กลองนำหน้า ๒. ขบวนกองบัง (บังสุกุล) หรือขบวนอัฐิผู้ตาย ๓. ขบวนหอผึ้ง ๔. ขบวนต้นกัลปพฤกษ์ การถวายหอผึ้ง แก่ภิกษุสงฆ์ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ว่าจะทำหอผึ้งจำนวนกี่หอ บางแห่งลูกหลานผู้ตายก็จะทำเป็นของตนเองคนละ ๑ หอ บางแห่งถือว่าจะต้องช่วยกันทำถวายพระสงฆ์ให้ครบทุกวัดที่นิมนต์มาสวดมนต์ เย็น การฉลองหอผึ้งหลังจากสวดมนต์เย็น มีเทศนาให้เกิดบุญกุศล แล้วมีการฉลองสนุกสนานรื่นเริง วันรุ่งเช้าจึงถวายอาหารพระสงฆ์ แล้วถวายหอผึ้งเป็นเสร็จพิธี จะเห็นว่า ประเพณีแห่ต้นผึ้งดังกล่าว เป็นเรื่องราวที่มีคติความเชื่อมาจากงานบุญแจกข้าวโดยเฉพาะ แต่ต่อมาประเพณีดังกล่าวได้ถูกจัดขึ้นให้ใหญ่โต ในกลุ่มชาวเมืองสกลนครที่มีคุ้มวัดต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ - ไกล วัดพระธาตุเชิงชุมด้วยเหตุหลายประการ เช่น ๑. พุทธศาสนิกชน เชื่อกันว่า การทำบุญในวันออกพรรษาหรือวันเทโวโรหนะ (วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก) เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าโลกทั้งสาม (มนุษย์โลก เทวโลก ยมโลก) จะมองเห็นความเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน และโดยพุทธานุภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวบ้านได้เห็นหอผึ้งที่ตนทำถวาย ชาวคุ้มต่าง ๆ จึงได้พากันจัดทำมาถวายเป็นประเพณีทุกปี ๒. วัดพระธาตุเชิงชุมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พระพุทธเจ้ามาประชุมรอยพระพุทธบาทถึง ๔ พระองค์ การนำหอผึ้งมาถวายเป็นพุทธบูชารอยพระพุทธบาทย่อมเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ๓. เป็นการทำบุญกุศลในช่วงเทศกาลออกพรรษา บรรดาญาติพี่น้อง ที่อยู่ห่างไกลได้มาพบกัน หลังจาก หว่านกล้า ปักดำแล้ว ยังได้จัดประเพณีแข่งเรือของคุ้มวัดต่าง ๆ ให้สนุกสนาน ชาวบ้านได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน ๒ ยุคปราสาทผึ้งทรงหอ ปราสาทผึ้งทรงหอเล็ก ๆ มี ๒ รูปแบบ คือ ทรงหอมียอดประดับหลังคาและปราสาททรงสิม หรือศาลพระภูมิ ที่มีขนาดเตี้ย ป้อมกว่าชนิดแรก แต่ไม่มีหลังคาเรียงขึ้นเป็นยอดปราสาทชนิดหลังนี้พบเห็นในสกลนคร เมื่อไม่นานมานี้ ๒.๑ ปราสาททรงหอ มียอดประดับหลังคาแหลมสูง ๒.๒ ปราสาทผึ้งทรงสิมหรือทรงศาลพระภูมิ ๓.ยุคปราสาทผึ้งเรือนยอด พระมหาวารีย์
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ประวัติความเป็นมาของปราสาทผึ้ง (สกลนคร)ภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัด สกลนคร ช่วงเวลา เทศกาลวันออกพรรษา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ความสำคัญ งานแห่ปราสาทผึ้งในเทศกาลออกพรรษาของชาวอีสาน แม้ว่าจะมีอยู่ทั่วไปในหลายจังหวัด แต่ก็ไม่จัดใหญ่โตและปฏิบัติต่อเนื่องเช่นของเมืองสกลนคร การพัฒนารูปแบบปราสาททรงโบราณเป็นทรงตะลุ่ม ทรงหอผึ้งแบบโบราณยังไม่พัฒนาเป็นรูปทรงปราสาทผึ้งดังกล่าวย่อมเกิดแง่คิดใน หลายประเด็น โดยเฉพาะในด้านรูปแบบและเนื้อหา ว่ามีการอนุรักษ์ประยุกต์ดัดแปลงหรือสร้างใหม่อย่างไร ประเด็นดังกล่าวไม่ควรข้ามไป เพื่อความเข้าใจจึงขอนำเรื่องราวของปราสาทผึ้งมารื้อฟื้นให้ทบทวนกันโดยสรุป ย่อ ดังนี้ ๑ ยุคต้นผึ้ง - หอผึ้ง ชาวอีสานในบางท้องถิ่นที่เชื่อกันว่า การทำต้นผึ้ง ดอกผึ้ง ทำเพื่อเป็นพุทธบูชาให้กุศลแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นเมื่อมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงในหมู่บ้านถึงแก่วายชนม์ลงจึงพากันไปช่วยงานศพ (งานเฮือนดี) เท่าที่จะช่วยงานได้ ดังมีคำกล่าวว่า "ผู้หญิงห่อข้าวต้ม ตัดตอก บีบข้าวปุ้น ผู้ชายหักหอผึ้ง" คำว่า หักหอผึ้ง ก็คือ การหักตอกทำต้นผึ้งนั่นเอง กล่าวกันว่าในการไปช่วยงานศพ หรืองานบุญแจกข้าวนั้นผู้ชายจะต้องนำพร้าติดตัวมาด้วย ทั้งนี้เพราะใช้ทำงานทุกอย่างนับแต่ ถากไม้ตัดฟืนและจักตอกทำต้นผึ้ง หอผึ้ง ต้นผึ้ง ทำจากต้นกล้วยขนาดเล็ก ตัดให้ยาวพอสมควร แต่งลำต้น ก้านทำขาหยั่งสามขาให้ยึดต้นกล้วยเข้าไว้เพื่อตั้งได้ จากนั้นจะนำขี้ผึ้งมาเคี่ยวให้หลอมเหลวเพื่อใส่ลงในแม่พิมพ์ แม่พิมพ์ทำจากผลไม้ เช่น ผลสิมลี (สิมพี ส้มพอดี โพธิสะเล) นอกจากนี้ยังอาจให้ผลมะละกอขนาดเล็กคว้านภายในแต่งให้เป็นดอกเป็นแฉกตามต้อง การ จากนั้นก็นำมาพิมพ์จุ่มขี้ผึ้งแล้วยกขึ้น นำไปแช่น้ำ ขี้ผึ้งจะหลุดออกจากพิมพ์เป็นดอกดวงตามแบบแม่พิมพ์ ก่อนนำดอกผึ้งไปติดที่ก้านกล้วย ต้นกล้วย ช่างทำต้นผึ้งจะหั่นหัวขมิ้นให้เป็นแว่นกลมใช้ไม้กลัดเสียบแว่นขมิ้นรองดอก ผึ้ง เพื่อมิให้ดอกผึ้งอ่อนตัวจนเสียรูปทรง การทำต้นผึ้ง จะทำให้เสร็จก่อนวันเก็บอัฐิธาตุผู้ตาย ในวันเก็บอัฐิ ญาติพี่น้องจะนำต้นผึ้งไปด้วย หลังจากใช้ก้านกล้วยคีบอัฐิมาทำเป็นรูปคนกลับธาตุ ก็จะนำต้นผึ้งมาวางที่กองอัฐิ พระสงฆ์ชักบังสุกุลกลบธาตุ ก่อนที่จะนำอัฐิไปบรรจุในสานที่อันเหมาะสมต่อไป ต้นผึ้งจึงให้เพื่อพิธีกรรมดังกล่าว หอผึ้งมีความเกี่ยวพันกับต้นผึ้งอย่างใกล้ชิด และเป็นต้นกำเนิดของการแห่ปราสาทผึ้งในปัจจุบัน หอผึ้งมีลักษณะเป็นทรงตะลุ่ม ทำโครงด้วยไม้ไผ่ จักตอกผูกเสริมด้วยกาบกล้วย ก้านกล้วย โครงหอผึ้งจะทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม ๒ ชั้นต่อกัน คล้ายเอวขันหรือเอวพานภายในโครงไม้จะโปร่ง เพื่อให้บรรจุเครื่องอัฐบริขารได้ทั้ง ๒ ชั้น เป็นที่สังเกตว่าหอผึ้งจะมี ๒ รูปแบบ ต่างกันเล็กน้อย คือ บางแห่งทำหอ ๒ ชั้น มีขนาดไล่เรี่ยกันแต่บางแห่งทำชั้นล่างใหญ่ กว้าง ชั้นบนเหนือเอวขันทำทรงขนาดเล็กให้รับกับฐานล่าง ให้ดูพองาม การประดับหอผึ้ง ยังนิยมประดับดอกผึ้งตามโครงกาบกล้วย ก้านกล้วยแม้จะมีการแทงหยวกเป็นลวดลายบ้างแล้ว ก็ยังไม่เน้นความงดงามของลายหยวกกล้วยเป็นสำคัญ หอผึ้งดังกล่าวจะทำให้เป็นคานหาม เพื่อใช้แห่ไปถวายวัด ส่วนประกอบสำคัญยังเป็นโครงซึ่งทำด้วยตอกไม้ไผ่อยู่ จึงยังเรียกการทำหอผึ้ง แต่เดิมก็ยังคงทำควบคู่ไปกับการทำต้นผึ้ง กล่าวคือ ประเพณีชาวอีสาน ถือว่า เมื่อถึงวันทำบุญ ถวายทานแก่ผู้ตายในงานแจกข้าว เมื่อถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์แล้ว ก็ถวายหอผึ้งเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้วายชนม์ ดังมีคำถวายถึงปราสาทผึ้งตอนหนึ่งว่า "…อิมานะ มะยังภัณเต มธุบุปผะ ปะสาทัง" แม้ว่าการถวายหอผึ้ง จะกระทำอยู่ในงานแจกข้าว แต่ชาวอีสานในหมู่บ้านต่าง ๆ ก็ยังถือว่า ควรจัดงานอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ ในช่วงวันออกพรรษาดังนั้นจึงนิยมหากิ่งไม้ หนามไผ่ มาสุมบริเวณที่เผาศพ มิให้สัตว์มาขุดคุ้ย พร้อมปักไม้กั้นรั้วคอกไว้ เมื่อออกพรรษา วันมหาปวารณาจึงทำบุญแจกข้าว โดยเลือกเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือ แรม ๑ ค่ำ ในเวลาเย็นจึงทำพิธีแจกข้าว พอถึงเวลาเย็น ชาวบ้านจึงแห่หอผึ้งไปยังวัดที่กำหนด ตำบลหนึ่งมักกำหนดวัดสำคัญ ๆ เป็นที่หมาย ชาวบ้านจะสร้างตูบผาม ปะรำพิธีไว้รับขบวนแห่ ซึ่งประกอบด้วย ๑. ขบวนฆ้อง กลองนำหน้า ๒. ขบวนกองบัง (บังสุกุล) หรือขบวนอัฐิผู้ตาย ๓. ขบวนหอผึ้ง ๔. ขบวนต้นกัลปพฤกษ์ การถวายหอผึ้ง แก่ภิกษุสงฆ์ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ว่าจะทำหอผึ้งจำนวนกี่หอ บางแห่งลูกหลานผู้ตายก็จะทำเป็นของตนเองคนละ ๑ หอ บางแห่งถือว่าจะต้องช่วยกันทำถวายพระสงฆ์ให้ครบทุกวัดที่นิมนต์มาสวดมนต์ เย็น การฉลองหอผึ้งหลังจากสวดมนต์เย็น มีเทศนาให้เกิดบุญกุศล แล้วมีการฉลองสนุกสนานรื่นเริง วันรุ่งเช้าจึงถวายอาหารพระสงฆ์ แล้วถวายหอผึ้งเป็นเสร็จพิธี จะเห็นว่า ประเพณีแห่ต้นผึ้งดังกล่าว เป็นเรื่องราวที่มีคติความเชื่อมาจากงานบุญแจกข้าวโดยเฉพาะ แต่ต่อมาประเพณีดังกล่าวได้ถูกจัดขึ้นให้ใหญ่โต ในกลุ่มชาวเมืองสกลนครที่มีคุ้มวัดต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ - ไกล วัดพระธาตุเชิงชุมด้วยเหตุหลายประการ เช่น ๑. พุทธศาสนิกชน เชื่อกันว่า การทำบุญในวันออกพรรษาหรือวันเทโวโรหนะ (วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก) เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าโลกทั้งสาม (มนุษย์โลก เทวโลก ยมโลก) จะมองเห็นความเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน และโดยพุทธานุภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวบ้านได้เห็นหอผึ้งที่ตนทำถวาย ชาวคุ้มต่าง ๆ จึงได้พากันจัดทำมาถวายเป็นประเพณีทุกปี ๒. วัดพระธาตุเชิงชุมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พระพุทธเจ้ามาประชุมรอยพระพุทธบาทถึง ๔ พระองค์ การนำหอผึ้งมาถวายเป็นพุทธบูชารอยพระพุทธบาทย่อมเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ๓. เป็นการทำบุญกุศลในช่วงเทศกาลออกพรรษา บรรดาญาติพี่น้อง ที่อยู่ห่างไกลได้มาพบกัน หลังจาก หว่านกล้า ปักดำแล้ว ยังได้จัดประเพณีแข่งเรือของคุ้มวัดต่าง ๆ ให้สนุกสนาน ชาวบ้านได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน ๒ ยุคปราสาทผึ้งทรงหอ ปราสาทผึ้งทรงหอเล็ก ๆ มี ๒ รูปแบบ คือ ทรงหอมียอดประดับหลังคาและปราสาททรงสิม หรือศาลพระภูมิ ที่มีขนาดเตี้ย ป้อมกว่าชนิดแรก แต่ไม่มีหลังคาเรียงขึ้นเป็นยอดปราสาทชนิดหลังนี้พบเห็นในสกลนคร เมื่อไม่นานมานี้ ๒.๑ ปราสาททรงหอ มียอดประดับหลังคาแหลมสูง ๒.๒ ปราสาทผึ้งทรงสิมหรือทรงศาลพระภูมิ ๓.ยุคปราสาทผึ้งเรือนยอด พระมหาวารีย์
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ประวัติความเป็นมาของปราสาทผึ้ง (สกลนคร) ภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดสกลนครช่วงเวลาเทศกาลวันออกพรรษาวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ความสำคัญ แม้ว่าจะมีอยู่ทั่วไปในหลายจังหวัด หลายประเด็นโดยเฉพาะในด้านรูปแบบและเนื้อหา ประเด็นดังกล่าวไม่ควรข้ามไป ย่อดังนี้ 1 ยุคต้นผึ้ง - หอผึ้ง การทำต้นผึ้งดอกผึ้ง ดังนั้นเมื่อมีญาติพี่น้อง (งานเฮือนดี) เท่าที่จะช่วยงานได้ดังมีคำกล่าวว่า "ผู้หญิงห่อข้าวต้มตัดตอกบีบข้าวปุ้นผู้ชายหักหอผึ้ง" คำว่าหักหอผึ้งก็คือการหักตอกทำต้นผึ้งนั่นเองกล่าวกันว่าในการไปช่วย งานศพ ถากไม้ตัดฟืนและจักตอกทำต้นผึ้งหอผึ้งต้นผึ้งทำจากต้นกล้วยขนาดเล็กตัดให้ยาวพอสมควรแต่งลำต้น แม่พิมพ์ทำจากผลไม้เช่นผลสิมลี (สิมพีส้มพอดีโพธิสะเล) การ นำไปแช่น้ำ ก่อนนำดอกผึ้งไปติดที่ก้านกล้วยต้นกล้วย ผึ้ง การทำต้นผึ้ง ในวันเก็บอัฐิญาติพี่น้องจะนำต้นผึ้งไปด้วย ก็จะนำต้นผึ้งมาวางที่กองอัฐิพระสงฆ์ชักบังสุกุลกลบธาตุ หอผึ้งมีลักษณะเป็นทรงตะลุ่มทำโครงด้วยไม้ไผ่จักตอกผูกเสริมด้วยกาบกล้วยก้านกล้วยโครงหอผึ้งจะทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม 2 ชั้นต่อกัน 2 ชั้นเป็นที่สังเกตว่าหอผึ้งจะมี 2 รูปแบบต่างกันเล็กน้อยคือบางแห่งทำหอ 2 ชั้น กว้าง ให้ดูพองามการประดับหอผึ้ง หอผึ้งดังกล่าวจะทำให้เป็นคานหามเพื่อใช้แห่ไปถวายวัด จึงยังเรียกการทำหอผึ้ง กล่าวคือประเพณีชาวอีสานถือว่าเมื่อถึงวันทำบุญถวายทานแก่ผู้ตายในงานแจกข้าวเมื่อถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์แล้ว "?? อิมานะมะยังภั ณ เตมธุบุปผะปะสาทัง" แม้ว่าการถวายหอผึ้งจะกระทำอยู่ในงานแจกข้าว แต่ชาวอีสานในหมู่บ้านต่าง ๆ ก็ยังถือว่า หนามไผ่มาสุมบริเวณที่เผาศพมิให้สัตว์มาขุดคุ้ยพร้อมปักไม้กั้นรั้วคอกไว้เมื่อออกพรรษาวันมหาปวารณาจึงทำบุญแจกข้าวโดยเลือกเอาวันขึ้น 15 ค่ำหรือแรม 1 ค่ำในเวลาเย็นจึงทำพิธีแจกข้าวพอถึง เวลาเย็น ตำบลหนึ่งมักกำหนดวัดสำคัญ ๆ เป็นที่หมายชาวบ้านจะสร้างตูบผามปะรำพิธีไว้รับขบวนแห่ซึ่งประกอบด้วย 1 ขบวนฆ้องกลองนำหน้า 2 ขบวนกองบัง (บังสุกุล) หรือขบวนอัฐิผู้ตาย 3 ขบวนหอผึ้ง 4 ขบวนต้นกัลปพฤกษ์การถวายหอผึ้งแก่ภิกษุสงฆ์ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะทำหอผึ้งจำนวนกี่หอ 1 หอ เย็นการฉลองหอผึ้งหลังจากสวดมนต์เย็นมีเทศนาให้เกิดบุญกุศลแล้วมีการฉลองสนุกสนานรื่นเริงวันรุ่งเช้าจึงถวายอาหารพระสงฆ์แล้วถวายหอผึ้งเป็นเสร็จพิธีจะเห็นว่าประเพณีแห่ต้นผึ้งดังกล่าว ๆ ที่อยู่ใกล้ - ไกล เช่น 1 พุทธศาสนิกชนเชื่อกันว่า (วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก) (มนุษย์โลกเทวโลกยมโลก) ชาวบ้านได้เห็นหอผึ้งที่ตนทำถวายชาวคุ้มต่าง ๆ 2 4 พระองค์ 3 บรรดาญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกลได้มาพบกันหลังจากหว่านกล้าปักดำแล้ว ๆ ให้สนุกสนานชาวบ้านได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน 2 ยุคปราสาทผึ้งทรงหอปราสาทผึ้งทรงหอเล็ก ๆ มี 2 รูปแบบคือ หรือศาลพระภูมิที่มีขนาดเตี้ยป้อมกว่าชนิดแรก เมื่อไม่นานมานี้ 2.1 ปราสาททรงหอมียอดประดับหลังคาแหลมสูง 2.2 ปราสาทผึ้งทรงสิมหรือทรงศาลพระภูมิ 3. ยุคปราสาทผึ้งเรือนยอดพระมหาวารีย์



การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ประวัติความเป็นมาของปราสาทผึ้ง ( สกลนคร )



ภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดสกลนครช่วงเวลาเทศกาลวันออกพรรษาวันขึ้น๑๕ค่ำเดือน๑๑ความสำคัญงานแห่ปราสาทผึ้งในเทศกาลออกพรรษาของชาวอีสานแม้ว่าจะมีอยู่ทั่วไปในหลายจังหวัดการพัฒนารูปแบบปราสาททรงโบราณเป็นทรงตะลุ่มทรงหอผึ้งแบบโบราณยังไม่พัฒนาเป็นรูปทรงปราสาทผึ้งดังกล่าวย่อมเกิดแง่คิดในหลายประเด็นโดยเฉพาะในด้านรูปแบบและเนื้อหาประเด็นดังกล่าวไม่ควรข้ามไปเพื่อความเข้าใจจึงขอนำเรื่องราวของปราสาทผึ้งมารื้อฟื้นให้ทบทวนกันโดยสรุปย่อดังนี้๑ยุคต้นผึ้ง - หอผึ้งชาวอีสานในบางท้องถิ่นที่เชื่อกันว่าการทำต้นผึ้งดอกผึ้งดังนั้นเมื่อมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงในหมู่บ้านถึงแก่วายชนม์ลงจึงพากันไปช่วยงานศพ ( งานเฮือนดี ) เท่าที่จะช่วยงานได้ดังมีคำกล่าวว่า " ผู้หญิงห่อข้าวต้มตัดตอกบีบข้าวปุ้นผู้ชายหักหอผึ้ง " คำว่าหักหอผึ้งก็คือกล่าวกันว่าในการไปช่วยงานศพหรืองานบุญแจกข้าวนั้นผู้ชายจะต้องนำพร้าติดตัวมาด้วยทั้งนี้เพราะใช้ทำงานทุกอย่างนับแต่ถากไม้ตัดฟืนและจักตอกทำต้นผึ้งหอผึ้งต้นผึ้งทำจากต้นกล้วยขนาดเล็กตัดให้ยาวพอสมควรก้านทำขาหยั่งสามขาให้ยึดต้นกล้วยเข้าไว้เพื่อตั้งได้จากนั้นจะนำขี้ผึ้งมาเคี่ยวให้หลอมเหลวเพื่อใส่ลงในแม่พิมพ์แม่พิมพ์ทำจากผลไม้เช่นผลสิมลี ( สิมพีส้มพอดีโพธิสะเล )การจากนั้นก็นำมาพิมพ์จุ่มขี้ผึ้งแล้วยกขึ้นนำไปแช่น้ำขี้ผึ้งจะหลุดออกจากพิมพ์เป็นดอกดวงตามแบบแม่พิมพ์ก่อนนำดอกผึ้งไปติดที่ก้านกล้วยต้นกล้วยผึ้งเพื่อมิให้ดอกผึ้งอ่อนตัวจนเสียรูปทรงการทำต้นผึ้งจะทำให้เสร็จก่อนวันเก็บอัฐิธาตุผู้ตายในวันเก็บอัฐิญาติพี่น้องจะนำต้นผึ้งไปด้วยหลังจากใช้ก้านกล้วยคีบอัฐิมาทำเป็นรูปคนกลับธาตุพระสงฆ์ชักบังสุกุลกลบธาตุก่อนที่จะนำอัฐิไปบรรจุในสานที่อันเหมาะสมต่อไปต้นผึ้งจึงให้เพื่อพิธีกรรมดังกล่าวหอผึ้งมีความเกี่ยวพันกับต้นผึ้งอย่างใกล้ชิดและเป็นต้นกำเนิดของการแห่ปราสาทผึ้งในปัจจุบันทำโครงด้วยไม้ไผ่จักตอกผูกเสริมด้วยกาบกล้วยก้านกล้วยโครงหอผึ้งจะทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม๒ชั้นต่อกันคล้ายเอวขันหรือเอวพานภายในโครงไม้จะโปร่งเพื่อให้บรรจุเครื่องอัฐบริขารได้ทั้ง๒ชั้น๒รูปแบบต่างกันเล็กน้อยความบางแห่งทำหอ๒ชั้นมีขนาดไล่เรี่ยกันแต่บางแห่งทำชั้นล่างใหญ่กว้างชั้นบนเหนือเอวขันทำทรงขนาดเล็กให้รับกับฐานล่างให้ดูพองามการประดับหอผึ้งยังนิยมประดับดอกผึ้งตามโครงกาบกล้วยก็ยังไม่เน้นความงดงามของลายหยวกกล้วยเป็นสำคัญหอผึ้งดังกล่าวจะทำให้เป็นคานหามเพื่อใช้แห่ไปถวายวัดส่วนประกอบสำคัญยังเป็นโครงซึ่งทำด้วยตอกไม้ไผ่อยู่จึงยังเรียกการทำหอผึ้งกล่าวคือประเพณีชาวอีสานถือว่าเมื่อถึงวันทำบุญถวายทานแก่ผู้ตายในงานแจกข้าวเมื่อถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์แล้วก็ถวายหอผึ้งเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้วายชนม์ดังมีคำถวายถึงปราสาทผึ้งตอนหนึ่งว่า " …อิมานะมธุบุปผะปะสาทัง " แม้ว่าการถวายหอผึ้งจะกระทำอยู่ในงานแจกข้าวแต่ชาวอีสานในหมู่บ้านต่างจะก็ยังถือว่าควรจัดงานอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ในช่วงวันออกพรรษาดังนั้นจึงนิยมหากิ่งไม้หนามไผ่มิให้สัตว์มาขุดคุ้ยพร้อมปักไม้กั้นรั้วคอกไว้เมื่อออกพรรษาวันมหาปวารณาจึงทำบุญแจกข้าวโดยเลือกเอาวันขึ้น๑๕ค่ำค็อคแรม๑ค่ำในเวลาเย็นจึงทำพิธีแจกข้าวพอถึงเวลาเย็นชาวบ้านจึงแห่หอผึ้งไปยังวัดที่กำหนดจะเป็นที่หมายชาวบ้านจะสร้างตูบผามปะรำพิธีไว้รับขบวนแห่ซึ่งประกอบด้วย๑ .ขบวนฆ้องกลองนำหน้า๒ . ขบวนกองบัง ( บังสุกุล ) หรือขบวนอัฐิผู้ตายล่ะ . ขบวนหอผึ้งโตเกียวขบวนต้นกัลปพฤกษ์การถวายหอผึ้งแก่ภิกษุสงฆ์ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะทำหอผึ้งจำนวนกี่หอบางแห่งลูกหลานผู้ตายก็จะทำเป็นของตนเองคนละ๑หอเย็นการฉลองหอผึ้งหลังจากสวดมนต์เย็นมีเทศนาให้เกิดบุญกุศลแล้วมีการฉลองสนุกสนานรื่นเริงวันรุ่งเช้าจึงถวายอาหารพระสงฆ์แล้วถวายหอผึ้งเป็นเสร็จพิธีจะเห็นว่าประเพณีแห่ต้นผึ้งดังกล่าวแต่ต่อมาประเพณีดังกล่าวได้ถูกจัดขึ้นให้ใหญ่โตในกลุ่มชาวเมืองสกลนครที่มีคุ้มวัดต่างจะที่อยู่ใกล้ - ไกลวัดพระธาตุเชิงชุมด้วยเหตุหลายประการเช่น๑ .พุทธศาสนิกชนเชื่อกันว่าการทำบุญในวันออกพรรษาหรือวันเทโวโรหนะ ( วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก ) เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าโลกทั้งสาม ( มนุษย์โลกเทวโลกยมโลก ) จะมองเห็นความเป็นอยู่ซึ่งกันและกันชาวบ้านได้เห็นหอผึ้งที่ตนทำถวายชาวคุ้มต่างจะจึงได้พากันจัดทำมาถวายเป็นประเพณีทุกปี๒ .วัดพระธาตุเชิงชุมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พระพุทธเจ้ามาประชุมรอยพระพุทธบาทถึงพระองค์การนำหอผึ้งมาถวายเป็นพุทธบูชารอยพระพุทธบาทย่อมเป็นสิริมงคลแก่ตนเองโตเกียวกัน .เป็นการทำบุญกุศลในช่วงเทศกาลออกพรรษาบรรดาญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกลได้มาพบกันหลังจากหว่านกล้าปักดำแล้วยังได้จัดประเพณีแข่งเรือของคุ้มวัดต่างจะให้สนุกสนานชาวบ้านได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน๒ปราสาทผึ้งทรงหอเล็กไม่มีคอนโด๒รูปแบบความทรงหอมียอดประดับหลังคาและปราสาททรงสิมหรือศาลพระภูมิที่มีขนาดเตี้ยป้อมกว่าชนิดแรกแต่ไม่มีหลังคาเรียงขึ้นเป็นยอดปราสาทชนิดหลังนี้พบเห็นในสกลนครเมื่อไม่นานมานี้๒ .๑ปราสาททรงหอมียอดประดับหลังคาแหลมสูง๒ . ๒ปราสาทผึ้งทรงสิมหรือทรงศาลพระภูมิยุคปราสาทผึ้งเรือนยอดพระมหาวารีย์ล่ะ .
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: