เรื่องราวว่าด้วยการเดินทางผจญภัยครั้งใหม่ของอลิซสู่ดินแดนมหัศจรรย์ที่ทุกอย่างแตกต่างจากเคย เมื่อกาลเวลานำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมีเดิมพันเป็นชีวิตของมิตรจากอีกฟากฝั่งบานกระจกที่อลิซจากมา “เมด เฮตเตอร์” ช่างทำหมวกสุดเพี้ยนของเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายจากอิทธิพลของราชินีโพแดง โดยมีหนทางเดียวที่จะสามารถช่วยเหลือเขาได้ คือ การเดินฝ่าฟันไปหาบุรุษแห่ง “เวลา” ซึ่งควบคุมทุกเข็มนาฬิกาทั้งกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
Wonderland อลิซ (รับบทโดย มีอา วาซิโคว์สกา) ที่เติบโตขึ้นเป็นกัปตันเรือเดินสมุทรผู้เก่งกาจ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่ลงรอยกับแม่ของเธอไปซะทุกเรื่องอยู่เช่นเดิม ท่ามกลางปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างเธอกับแม่ อลิซก็ค้นพบทางเชื่อมไปสู่ Wonderland โดยบังเอิญ และการกลับมายังดินแดนต่างมิติครั้งนี้เธอก็ได้รู้จากเพื่อน ๆ ว่า แมด แฮตเตอร์ (รับบทโดย จอห์นนี เดปป์) กำลังครุ่นคิดถึงครอบครัวที่สูญเสียไปจนไม่เป็นอันทำอะไร และหนทางเดียวที่เธอจะทำให้เพื่อนซี้ของเธอกลับมาร่าเริงได้อีกครั้งก็คือต้องเดินทางไปพบกับ ไทม์ (รับบทโดย ซาชา บารอน โคเฮน) ผู้ควบคุมกาลเวลา เพื่อย้อนกลับไปแก้ไขอดีต ทว่ามีเพียงไทม์เท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วไม่มีใครสามารถแก้ไขอดีตได้
Alice Through the Looking Glass นับว่าเป็นหนังภาคต่อที่ดูได้เพลิน ๆ ไม้เด็ดส่วนใหญ่อยู่ในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง ทั้งในแง่ภาพ แสง สี เสียง ตลอดจนวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ต่าง ๆ นานา และเมื่อหากพิจารณาในแง่ข้อคิดของเรื่อง จะพบว่ามีอยู่ 2 ประเด็นหลัก ๆ ที่แฝงอยู่ คือ 1.) เรื่องการยอมรับ-ทำความเข้าใจระหว่างคนในครอบครัว และ 2.) เรื่องที่ว่าคนเราไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ เพราะฉะนั้น เมื่อในวันนี้ยังมี “เวลา” ก็ควรทำทุกอย่างให้ดีที่สุด