all light is Rayleigh scattered, it

all light is Rayleigh scattered, it's just that short wavelength light is scattered more. The bluest light we can see has a wavelength of about 400nm while the reddest has a wavelength of about 700nm, so there is a roughly a factor of ten increase in the scattering going from the red to the blue end of the spectrum.

So the light we see from the sky isn't a pure wavelength, it's a mix of all the colours but weighted towards the blue end of the spectrum. For the sky to be purple we'd need the scattering of purple light to be much stronger than red light, not just a factor of ten.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ไฟทั้งหมดจะกระจัดกระจายราคาย่อมเยา มันเป็นเพียงว่า แสงความยาวคลื่นสั้นจะกระจายมากขึ้น ไฟ bluest ที่เราสามารถดูได้ความยาวคลื่นของเกี่ยวกับ 400nm ในขณะ reddest มีความยาวคลื่นเป็นของเกี่ยวกับ 700nm มีการประมาณตัวคูณเพิ่มสิบ scattering ไปจากสีแดงปลายฟ้าดังนั้นแสงที่เราเห็นจากท้องฟ้าไม่ใช่ความบริสุทธิ์ ได้ผสมสีทั้งหมดแต่น้ำหนักที่สิ้นสีน้ำเงิน ในท้องฟ้าเป็นสีม่วง เราต้อง scattering ของแสงสีม่วงจะแกร่งกว่าแสงสีแดง ไม่ใช่แค่ตัวคูณสิบ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แสงทั้งหมดจะถูกเรย์ลีกระจัดกระจายก็เพียงว่าแสงความยาวคลื่นสั้นจะกระจายมากขึ้น แสงฟ้าเราจะเห็นมีความยาวคลื่นประมาณ 400nm ขณะ reddest มีความยาวคลื่นประมาณ 700nm เพื่อให้มีประมาณปัจจัยสิบเพิ่มขึ้นในการกระเจิงไปจากสีแดงเป็นที่สิ้นสุดสีฟ้าของสเปกตรัม. ดังนั้นแสง ที่เราเห็นจากฟากฟ้าไม่ได้เป็นความยาวคลื่นบริสุทธิ์มันเป็นส่วนผสมของสีทั้งหมด แต่น้ำหนักปลายฟ้าของสเปกตรัม ท้องฟ้าจะเป็นสีม่วงที่เราจะต้องกระเจิงของแสงสีม่วงที่จะแข็งแกร่งกว่าแสงสีแดงไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยที่สิบ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ทั้งหมดแสงเรย์ลีกระจัดกระจาย มันก็แค่แสงความยาวคลื่นสั้น จะกระจายมากขึ้น แสงเท่ากับเราเห็นมีความยาวคลื่นประมาณ 400nm ในขณะที่แดงมีความยาวคลื่นประมาณ 700nm จึงมีการประมาณปัจจัยสิบเพิ่มในการไปจากสีแดงกับสีฟ้าสิ้นสุดของสเปกตรัม .

ดังนั้นแสงที่เราเห็นจากท้องฟ้าไม่มีแสงบริสุทธิ์มันผสมทุกสีแต่หนักตรงปลายสีฟ้าของสเปกตรัม ท้องฟ้าเป็นสีม่วง เราต้องการ การกระเจิงของแสงม่วงจะเข้มแข็งกว่าที่ไฟสีแดง ไม่ใช่ปัจจัยของสิบ