3D or not 3D? That is the questionI

3D or not 3D? That is the question
In the 20th century everything changed for cinema. First came silent movies, then ‘talkies’ (films with sound) and then color films. The 21st century has also seen a new step forward in film technology: the 3-D revolution. Just five years ago it was very rare to see a 3-D film at a mainstream cinema, but in 2010 50% of the ten highest grossing films of the year were 3-D. What caused this sudden change? Is it a good thing? Are 3-D films here to stay?
The first 3-D film was shown to a paying audience in 1920, but throughout the 20th century the technology remained a gimmick – a clever trick to enjoy at Disneyland, and nothing more. In the 1980s, as technology improved, 3-D became more popular in mainstream cinema. However, it was only low-brow films, such as Jaws 3D, which made use of the new technology. Then, in 2009, there was Avatar. At $237 million, Avatar is one of the most expensive films ever to be made, but it’s also the highest grossing one. As well as being popular with cinema-goers, the film pleased critics, and was nominated for nine Academy Awards (it won three). Avatar’s huge success started the 3-D revolution, and in 2011 alone 42 different 3-D films will be shown in cinemas across Britain and America.
3-D films are obviously very popular. The technology truly immerses you in the film and makes you feel like you’re part of the action. It can make you believe that you’re on Avatar’s planet Pandora when in fact you’re actually just sat in the cinema on a wet Tuesday afternoon. 3-D films reach out to the audience (quite literally, in some cases) in a way that perhaps normal 2-D films do not. Audiences worldwide have shown they enjoy being more involved in a film and the popularity of 3-D films has helped improve box-office sales during the economic crisis, when people don’t usually spend extra money on entertainment. Even if you don’t like 3-D films, you should perhaps still be grateful to the technology for making studios money during the recession, enabling them to carry on making great cinema in both 2-D and 3-D.
However, what’s good for film studios isn’t always good for audiences. 3-D film tickets do cost more than normal cinema tickets, and you must decide if seeing a film in 3-D is worth the extra money. While some people say that 3-D technology makes films more involving, surely that’s the purpose of the script, acting and direction? If a film’s budget is being spent on 3-D then less is being spent on these three things, which used to be all a film needed to make it involving. What’s more, several films are being turned into 3-D after they have been made in 2-D, rather than being made in 3-D from the start. This produces a weaker effect and can be seen as a way of studios cashing in on the popularity of 3-D whilst actually creating an inferior product. For example, why did Disney need to re-release The Lion King in 3-D? How much did the new technology add to a film that was already fantastic? Was it enough to justify the higher ticket prices? Not only are some studios charging higher prices for lower quality films, but many people get headaches from wearing 3-D glasses, which ruins the experience. It’s possible that the new, popular technology is still not advanced enough to be more than a passing craze, and film-makers that misuse the technology and produce weak films will lessen the popularity of 3-D.
Although it is clear that there are problems with 3-D, both with the technology itself and the way it is used by greedy studios, many hope that these are just teething problems. In terms of mainstream cinema, 3-D technology is still very young, so it’s understandable that there have been (and still are) issues with it. It is important to remember that films with sound and color were once new, exciting and uncertain technologies, but they both survived! Furthermore, even if a film is released in 3-D, most cinemas will also show it in 2-D, so that those who prefer the good old cinema experience can still enjoy the film in the ‘normal’ way. With over 20 3-D films planned for release in 2012 it seems that the technology will remain popular for another year at least, but only time will tell if 3-D is truly the future of cinema.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

3D 3D หรือไม่? นั่นคือคำถาม
ในศตวรรษที่ 20 ทุกอย่างเปลี่ยนไปในโรงภาพยนตร์ แรกที่เข้ามาหนังเงียบแล้วเเต่ (ภาพยนตร์พร้อมเสียง) แล้วหนังสี ศตวรรษที่ 21 ยังได้เห็นขั้นตอนใหม่ไปข้างหน้าในเทคโนโลยีฟิล์ม: การปฏิวัติ 3 มิติ เพียงห้าปีที่ผ่านมามันก็ยากมากที่จะเห็นภาพยนตร์ 3 มิติที่โรงภาพยนตร์กระแสหลัก แต่ในปี 2010 เป็น 50% ในสิบภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดของปี 3-D สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้? มันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? หรือไม่ภาพยนตร์ 3 มิติที่นี่อยู่
ภาพยนตร์ 3 มิติเป็นครั้งแรกที่แสดงให้เห็นว่าผู้ชมที่จ่ายในปี 1920 แต่ตลอดศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยียังคงเป็นกลไก - เคล็ดลับฉลาดจะเพลิดเพลินไปกับที่ดิสนีย์แลนด์และไม่มีอะไรเพิ่มเติม ในช่วงปี 1980 เป็นเทคโนโลยีที่ดีขึ้น, 3-D กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นในโรงภาพยนตร์กระแสหลัก แต่มันก็เป็นเพียงภาพยนตร์คิ้วต่ำเช่นขากรรไกร 3 มิติซึ่งทำให้การใช้เทคโนโลยีใหม่ จากนั้นในปี 2009 มีสัญญลักษณ์ ที่ $ 237,000,000 อวตารเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยจะทำ แต่ก็ยังทำรายได้สูงสุดหนึ่ง รวมทั้งเป็นที่นิยมกับโรงภาพยนตร์เต็มยศฟิล์มยินดีนักวิจารณ์และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เก้า (มันรับรางวัลที่สาม) ความสำเร็จอย่างมากรูปส่วนตัวเริ่มต้นการปฏิวัติ 3 มิติและในปี 2011 เพียงอย่างเดียวที่แตกต่างกัน 42 ภาพยนตร์ 3 มิติจะแสดงในโรงภาพยนตร์ทั่วสหราชอาณาจักรและอเมริกา.
3 มิติภาพยนตร์จะเห็นได้ชัดที่นิยมมาก เทคโนโลยีอย่างแท้จริงให้คุณดื่มด่ำในภาพยนตร์เรื่องนี้และทำให้คุณรู้สึกว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการ มันสามารถทำให้คุณเชื่อว่าคุณจะอยู่บนแพนดอร่าของโลก Avatar เมื่อในความเป็นจริงคุณจริงเพียงแค่นั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ในช่วงบ่ายวันอังคารที่เปียก ภาพยนตร์ 3 มิติเข้าถึงผู้ชม (ค่อนข้างอักษรในบางกรณี) ในทางที่ปกติอาจจะเป็นภาพยนตร์ 2 มิติไม่ ผู้ชมทั่วโลกได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนุกกับการเป็นส่วนร่วมมากขึ้นในภาพยนตร์และความนิยมของภาพยนตร์ 3 มิติได้ช่วยเพิ่มยอดขายบ็อกซ์ออฟฟิศในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อคนมักจะไม่ใช้จ่ายเงินเพิ่มเติมเกี่ยวกับความบันเทิง แม้ว่าคุณจะไม่ชอบหนัง 3 มิติที่คุณควรอาจจะยังจะขอบคุณเทคโนโลยีสำหรับการทำเงินสตูดิโอช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้พวกเขาที่จะดำเนินการในการทำโรงภาพยนตร์ที่ดีทั้งใน 2 มิติและ 3 มิติ.
แต่สิ่งที่เป็น ดีสำหรับสตูดิโอภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เสมอที่ดีสำหรับผู้ชม 3 มิติตั๋วภาพยนตร์ไม่เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าตั๋วโรงภาพยนตร์ปกติและคุณต้องตัดสินใจว่าเห็นหนัง 3-D เป็นมูลค่าเงินพิเศษ ในขณะที่บางคนบอกว่าเทคโนโลยี 3 มิติที่ทำให้ภาพยนตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแน่นอนว่าจุดประสงค์ของสคริปต์ทำหน้าที่และทิศทาง? หากงบประมาณของภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกใช้เมื่อวันที่ 3-D แล้วน้อยจะถูกใช้ในสามสิ่งเหล่านี้ซึ่งเคยเป็นภาพยนตร์ทั้งหมดที่จำเป็นในการทำให้มันเกี่ยวข้องกับ มีอะไรมากกว่าที่หลายเรื่องจะกลายเป็น 3 มิติหลังจากที่พวกเขาได้ทำใน 2 มิติมากกว่าการทำใน 3 มิติตั้งแต่เริ่มต้น นี้จะมีผลปรับตัวลดลงและสามารถมองเห็นเป็นวิธีการที่สตูดิโอ cashing ในความนิยมของ 3-D ในขณะที่จริงการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ด้อย ตัวอย่างเช่นทำไมดิสนีย์จำเป็นต้องปล่อย The Lion King 3-D? ไม่เท่าไหร่เทคโนโลยีใหม่เพิ่มให้กับหนังเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อยู่แล้ว? มันพอที่จะปรับสูงขึ้นราคาตั๋ว? ไม่เพียง แต่มีบางสตูดิโอชาร์จราคาที่สูงขึ้นสำหรับภาพยนตร์ที่มีคุณภาพต่ำ แต่หลายคนได้รับอาการปวดหัวจากการสวมใส่แว่นตา 3 มิติซึ่งซากปรักหักพังประสบการณ์ เป็นไปได้ว่าเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นที่นิยมยังไม่สูงพอที่จะเป็นมากกว่าความนิยมในการส่งผ่านและผู้ผลิตภาพยนตร์ที่ผิดเทคโนโลยีและการผลิตภาพยนตร์ที่อ่อนแอจะช่วยลดความนิยมของ 3 มิติ.
แม้ว่ามันจะเป็นที่ชัดเจนว่ามีปัญหา 3-D ทั้งที่มีเทคโนโลยีของตัวเองและวิธีที่มันจะถูกใช้โดยสตูดิโอโลภความหวังอีกมากมายที่เหล่านี้เป็นเพียงการงอกของฟันปัญหา ในแง่ของโรงภาพยนตร์กระแสหลักเทคโนโลยี 3 มิติยังหนุ่มมากดังนั้นก็เข้าใจว่ามี (และยังคงเป็น) ปัญหาเกี่ยวกับมัน มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำว่าภาพยนตร์ด้วยเสียงและสีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นเต้นและมีความไม่แน่นอน แต่พวกเขาทั้งชีวิตรอด! นอกจากนี้แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวใน 3 มิติ, โรงภาพยนตร์มากที่สุดนอกจากนี้ยังจะแสดงให้เห็นใน 2 มิติเพื่อให้ผู้ที่ต้องการประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์เก่าที่ดียังสามารถเพลิดเพลินกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในทางที่ 'ปกติ' ที่มีมากกว่า 20 เรื่อง 3-D ที่วางแผนไว้สำหรับการเปิดตัวในปี 2012 ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีจะยังคงได้รับความนิยมอีกหนึ่งปีเป็นอย่างน้อย แต่เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่า 3 มิติอย่างแท้จริงในอนาคตของโรงภาพยนตร์

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

3 มิติหรือ 3D ? นั่นเป็นคำถาม
ในศตวรรษที่ 20 ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงสำหรับภาพยนตร์ แรกภาพยนตร์เงียบแล้ว ' ' ( Talkies ภาพยนตร์ด้วยเสียง ) และสีแล้วภาพยนตร์ ศตวรรษที่ 21 ได้เห็นก้าวใหม่เทคโนโลยี 3-D ภาพยนตร์ : การปฏิวัติ เพียงห้าปีที่ผ่านมามันก็ยากมากที่จะไปชมภาพยนตร์ 3 มิติ ที่กระแสภาพยนตร์แต่ในปี 2553 50% ของสิบฟิล์มเบ็ดเสร็จสูงสุดของปี 3 สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีใช่ไหม เป็นภาพยนตร์ 3 มิติ อยู่ที่นี่ ?
ภาพยนตร์ 3-D แรกได้แสดงให้ผู้ชมจ่ายในปี 1920 แต่ตลอดศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยียังคงเป็นกลไกและวิธีที่ฉลาดเพื่อเพลิดเพลินกับ ดิสนีย์แลนด์ และไม่มีอะไรเพิ่มเติม ในช่วงปี 1980 , ปรับปรุงเทคโนโลยี3D กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นในกระแสหลักของภาพยนตร์ แต่มันเป็นแค่คิ้วต่ำภาพยนตร์เช่น Jaws 3D ซึ่งทำให้การใช้เทคโนโลยีใหม่ จากนั้น ในปี 2009 มี Avatar ที่ $ 237 ล้าน อวตาร เป็นหนึ่งในหนังที่แพงที่สุดที่เคยทำ แต่ก็เป็นเบ็ดเสร็จสูงสุด 1 รวมทั้งเป็นที่นิยมกับภาพยนตร์ goers , ภาพยนตร์ถูกใจนักวิจารณ์และถูกเสนอชื่อเข้าชิง 9 รางวัล ( รางวัลที่สาม ) ความสำเร็จอย่างมากของ Avatar 3-D เริ่มการปฏิวัติ และในปี 2011 คนเดียว 42 ภาพยนตร์สามมิติที่แตกต่างกันจะถูกแสดงในโรงภาพยนตร์ทั่วสหราชอาณาจักรและอเมริกา ภาพยนตร์ 3-D
เห็นได้ชัดที่เป็นที่นิยมมาก เทคโนโลยีอย่างแท้จริง immerses คุณในหนัง และทำให้คุณรู้สึกว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำมันสามารถทำให้คุณเชื่อว่าคุณเป็นอวตารของดาวแพนโดร่าเมื่อในความเป็นจริงคุณกำลังนั่งอยู่ในโรงหนังในบ่ายวันอังคารที่เปียก ภาพยนตร์ 3 มิติ เข้าถึงผู้ชม ( ค่อนข้างอักษรในบางกรณี ) ในลักษณะที่อาจปกติ 2 ฟิล์มไม่ได้ผู้ชมทั่วโลกได้แสดงให้พวกเขาเพลิดเพลินกับการมีส่วนร่วมในการถ่าย และความนิยมของภาพยนตร์ 3 มิติ จะช่วยเพิ่มยอดขายบ็อกซ์ออฟฟิศในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อคนไม่มักจะใช้จ่ายเงินเพิ่มเติมเกี่ยวกับความบันเทิง ถ้าคุณไม่ชอบ 3-D ภาพยนตร์ คุณอาจจะยังต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้สตูดิโอเงินในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำให้ดำเนินการทำภาพยนตร์มากทั้งใน 2 มิติ และ 3
แต่อะไรที่ดีกับสตูดิโอภาพยนตร์ไม่เสมอที่ดีสำหรับผู้ชม ตั๋วภาพยนตร์ 3 มิติ ทำแพงกว่าตั๋วโรงหนังปกติ และคุณต้องตัดสินใจว่า ถ้าเห็นเป็นภาพยนตร์สามมิติจะคุ้มค่าเงินพิเศษ ในขณะที่บางคนบอกว่า เทคโนโลยี 3 มิติ ทำให้ภาพยนตร์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับ แน่นอนนั่นคือจุดประสงค์ของบทการแสดงและทิศทาง ? ถ้างบประมาณของภาพยนตร์คือการใช้ในแบบ 3 มิติแล้ว น้อยจะถูกใช้ในสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเคยเป็นทั้งภาพยนตร์ที่จำเป็นเพื่อให้มันเกี่ยวข้องกับ . มีอะไรมากกว่าหนังอีกหลายที่ถูกกลายเป็น 3 มิติ หลังจากที่พวกเขาได้ทำใน 2 มิติ มากกว่าการทำใน 3 มิติ จากการเริ่มต้นนี้ผลิตผลที่แข็งแกร่งและสามารถมองเห็นเป็นวิธีของสตูดิโอ cashing ในความนิยมของ 3 มิติ ในขณะที่จริงๆ แล้ว การสร้างผลิตภัณฑ์ด้านล่าง ตัวอย่างเช่น ทำไมดิสนีย์ต้อง re ปล่อยสิงโตสามมิติเหรอ เท่าไหร่ เทคโนโลยีใหม่เพิ่มเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ? มันเพียงพอที่จะปรับราคาตั๋วที่สูงขึ้น ?ไม่เพียง แต่เป็นบางสตูดิโอชาร์จราคาสูงกว่าฟิล์มคุณภาพต่ำ แต่หลายคนปวดหัวกับการสวมใส่แว่นตา 3 มิติ ซึ่งทำให้ประสบการณ์ มันเป็นไปได้ว่าใหม่ เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมก็ยังไม่สูงพอที่จะผ่านมากกว่าความบ้าคลั่ง และผู้ผลิตภาพยนตร์ที่ใช้เทคโนโลยีและการผลิตภาพยนตร์ที่อ่อนแอ จะลดความนิยมของ
3แม้ว่ามันจะเป็นที่ชัดเจนว่ามีปัญหากับ 3 มิติ ทั้งด้วยเทคโนโลยีเอง และมันเป็นวิธีที่ใช้โดยสตูดิโอโลภมากหวังว่าเหล่านี้เป็นเพียงปัญหาการงอกของฟัน . ในแง่ของกระแสภาพยนตร์ 3 มิติเป็นเทคโนโลยีที่ยังหนุ่มมาก ดังนั้นจึงเข้าใจว่ามี ( และยังคงมี ) ปัญหาเกี่ยวกับมัน มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ว่าภาพยนตร์ด้วยเสียงและสีเคยใหม่เทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นและไม่แน่ใจ แต่พวกเขาทั้งสองรอด ! นอกจากนี้ แม้ว่าภาพยนตร์จะถูกปล่อยออกมาในแบบ 3 มิติ , โรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะยังแสดงใน 2 มิติ เพื่อให้ผู้ที่ชอบดีประสบการณ์โรงภาพยนตร์เก่ายังสามารถเพลิดเพลินกับภาพยนตร์ในวิธีที่ ' ปกติ ' กว่า 20 3-D ภาพยนตร์วางแผนว่าจะออกในปี 2012 ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีจะยังคงเป็นที่นิยมสำหรับปีอื่นอย่างน้อยแต่เวลาเท่านั้นจะบอกได้ว่าอนาคตของภาพยนตร์ 3 มิติอย่างแท้จริง .