กฎหมายโรมันถือเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบกฎหมายในโลกปัจจุบันโดยเฉพาะระบบกฎหมาย Civil Law หรือ แม้กระทั่งระบบกฎหมาย Common Law เองก็ยังได้รับอิทธิพลบางส่วนมาจากกฎหมายโรมันเช่นเดียวกัน โดยหากจะทำการศึกษากฎหมายโรมัน ก็ต้องเริ่มต้นศึกษาจาก ความหมายในเบื้องต้นก่อน กล่าวคือโดยทั่วไปจะรู้จักกฎหมายโรมันในชื่อของ “Jus” ซึ่งหมายถึง ระบบกฎหมายโดยรวม อันมีที่มาจากความยุติธรรม หรือหลักนิติธรรม (The Rule of Law) และอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่สำคัญ 3 ประการ คือ
- ต้องดำรงอยู่ด้วยความซื่อสัตย์
- ไม่ทำร้ายผู้ใด
- ให้สิ่งตอบแทนแก่ทุกคนตามสมควรที่เขาควรจะได้รับ
และจะมีความหมายเหนือกว่าคำว่า “Lex” ซึ่งหมายถึงเพียงกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Statute) ซึ่ง “Jus” สามารถแบ่งเป็นได้เป็นสองประเภท คือ
1) Jus Publicum (กฎหมายมหาชน) คือ กฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกิจการของโรมันที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และรัฐ ซึ่งรวมถึงกฎหมายดังต่อไปนี้ คือ
- กฎหมายอาญา
- กฎมายรัฐธรรมนูญ
- กฎหมายเกี่ยวกับพิธีการทางศาสนา (Ecclesiastical Law)
- กฎหมายปกครอง
2) Jus Privatum (กฎหมายเอกชน) คือ กฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการจัดการผลประโยชน์ระหว่างเอกชน และเอกชน ซึ่งรวมถึงกฎหมายดังต่อไปนี้ คือ
- กฎหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว
- กฎหมายหนี้
- กฎหมายมรดก
- กฎหมายทรัพย์สิน
เราสามารถแบ่งกฎหมายโรมันได้ 4 ยุคสมัย
1. ยุคแรก เรียกว่า ยุคกษัตริย์ Monarchy หรือ Regal period เริ่มตั้งแต่ 753 ถึง 509 ก่อนคริสต์ศักราชในช่วงนี้มีระยะเวลาประมาณ 200 กว่าปี
2. ยุคที่ 2 เรียกว่า ยุคสาธารณรัฐ (Republic) อันเป็นช่วงต่อจากปี 509 ถึงปีที่ 27 ก่อนคริสตกาล กฎหมายสิบสองโต๊ะเกิดขึ้นในยุคนี้ และมีการปกครองโดยรัฐสภากับกงกุส หรือคอนซูลที่มีชื่อเสียง คือ ซีซาร์
3. ยุคที่ 3 เรียกว่า ยุคจักรวรรดิหรือจักรพรรดิ (Principate) เป็นยุคล่าอาณานิคม อันเป็นช่วงที่ต่อจากปี 27 คือปีที 26 ก่อนคริสตกาลถึง พ.ศ.284 รวมแล้วประมาณ 300 กว่าปี
4. ยุคที่ 4 ยุคเผด็จการ (Dominate) ตั้งแต่ ค.ศ.285 ถึง ค.ศ.476
กฎหมายโรมันนับเป็นมรดกทางการปกครองสำคัญที่ชาวโรมันทิ้งไว้ให้คนรุ่น หลังกฎหมายฉบับแรกของโลกคือ Law of Twelve Tables ซึ่งประกาศใช้ในปี 450 ก่อนคริสต์ศักราช กฎหมายนี้ลักษณะที่เข้มงวดและมีบทลงโทษที่รุนแรง เมื่อโรมันขยายตัวเป็นจักรวรรดิ มีการติดต่อค้าขายกับดินแดนต่างๆ ซึ่งมีกฎหมายและขนบประเพณีเฉพาะ ชาวโรมันได้รวบรวมกฎหมายที่ได้พบเห็นนี้มาปรับปรุงให้เข้ากับกฎหมายเดิมจน ได้กฎหมายที่เหมาะสมกับจักรวรรดิที่ประกอบด้วยชนหลายกลุ่ม กฎหมายนี้เรียกว่า jus gentium ซึ่งหมายถึงกฎหมายของชนทั้งหลายในช่วงปลายจักวรรดิโรมันได้มีการชำระรวบรวมประมวลกฎหมายโดยอาศัยเอกสาร กฎหมายฉบับที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ Justinian laws กฎหมายโรมันได้รับอิทธิพล Natural Laws ถือว่ากฎหมายคือสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น กฎหมายจึงสามารถใช้คลอบคลุมมนุษย์ทุกคนและทุกรัฐอย่างเท่าเทียมกัน หลักการสำคัญของกฎหมายโรมันคือให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิของบุคคล ทุกคนจะได้รับความเท่าเทียมกันตามกฎหมายไม่มีการทรมานผู้ต้องหาเพื่อให้รับ สารภาพ รวมทั้งถือว่าผู้ต้องหาคือผู้บริสุทธิ์ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ความ ผิดได้ แม้แต่ทาสก็ได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายลักษณะทาส ทาสมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าทดแทนในกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้านาย กฎหมายที่มีประสิทธิภาพและมีระบบของโรมันเหล่านี้กลายเป็นแม่แบบของ กฎหมายประเทศต่างๆ ในยุโรปในสมัยต่อมา โดยเฉพาะประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส รวมทั้งประเทศต่างๆ ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้