TThe interaction of the incident ra

TThe interaction of the incident rays with the sample produces constructive interference (and a diffracted ray) when conditions satisfy Bragg's Law (nλ=2d sin θ). This law relates the wavelength of electromagnetic radiation to the diffraction angle and the lattice spacing in a crystalline sample. These diffracted X-rays are then detected, processed and counted. By scanning the sample through a range of 2θangles, all possible diffraction directions of the lattice should be attained due to the random orientation of the powdered material. Conversion of the diffraction peaks to d-spacings allows identification of the mineral because each mineral has a set of unique d-spacings. Typically, this is achieved by comparison of d-spacings with standard reference patterns.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ปฏิสัมพันธ์ของรังสีตกกระทบกับตัวอย่างทำให้เกิดการรบกวนเชิงสร้างสรรค์ (และรังสีเลี้ยวเบน) เมื่อเงื่อนไขเป็นไปตามกฎของแบรกก์ (nแล=2d sin θ) กฎนี้เกี่ยวข้องกับความยาวคลื่นของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้ากับมุมการเลี้ยวเบนและระยะห่างของโครงตาข่ายในตัวอย่างผลึก จากนั้นรังสีเอกซ์ที่เลี้ยวเบนเหล่านี้จะถูกตรวจจับ ประมวลผล และนับจำนวน ด้วยการสแกนตัวอย่างผ่านช่วง 2θangles ควรบรรลุทิศทางการเลี้ยวเบนของโครงตาข่ายที่เป็นไปได้ทั้งหมด เนื่องจากการวางแนวแบบสุ่มของวัสดุที่เป็นผง การแปลงพีคของการเลี้ยวเบนเป็นระยะห่าง d ช่วยให้สามารถระบุแร่ธาตุได้ เนื่องจากแร่แต่ละชนิดมีชุดระยะห่าง d ที่ไม่ซ้ำกัน โดยทั่วไป สามารถทำได้โดยการเปรียบเทียบระยะห่าง d กับรูปแบบอ้างอิงมาตรฐาน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เมื่อเงื่อนไขเป็นไปตามกฎของปราก (n λa = 2d ไซน์ทีต้า) ปฏิสัมพันธ์ของแสงที่เข้ามากับตัวอย่างจะสร้างการแทรกแซงยาว (และแสงเลี้ยวเบน) กฎหมายนี้เชื่อมโยงความยาวคลื่นของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้ากับมุมเลี้ยวเบนและระยะห่างของตาข่ายในตัวอย่างคริสตัล จากนั้นทำการตรวจจับ ประมวลผล และนับรังสีเอกซ์ที่เลี้ยวเบนเหล่านี้ โดยการสแกนตัวอย่างภายในมุม 2 ทีต้าทิศทางการเลี้ยวเบนที่เป็นไปได้ทั้งหมดของตาข่ายควรได้รับเนื่องจากการวางแนวแบบสุ่มของวัสดุผง การแปลงยอดการเลี้ยวเบนเป็น d-space สามารถระบุแร่ธาตุได้เนื่องจากแต่ละแห่งมีชุดของ d-space ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยทั่วไปแล้วสิ่งนี้ทําได้โดยการเปรียบเทียบระยะห่าง d กับรูปแบบอ้างอิงมาตรฐาน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เมื่อเงื่อนไขเป็นไปตามกฎหมายของBragg ( nλ= 2 d sin θ )ปฏิสัมพันธ์ระหว่างแสงที่เกิดขึ้นกับตัวอย่างจะทําให้เกิดการแทรกแซงของเฟส(และแสงการเลี้ยวเบน) กฎหมายเชื่อมโยงความยาวคลื่นของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้ากับมุมการเลี้ยวเบนและระยะห่างของตาข่ายในตัวอย่างคริสตัล รังสีเอกซ์ที่เลี้ยวเบนเหล่านี้จะถูกตรวจพบประมวลผลและนับ โดยการสแกนตัวอย่างในช่วงมุม2θทิศทางการเลี้ยวเบนที่เป็นไปได้ทั้งหมดของตาข่ายควรได้รับเนื่องจากการวางแนวแบบสุ่มของวัสดุผง การแปลงจุดสูงสุดของการเลี้ยวเบนเป็นd-spacingจะระบุแร่ธาตุเนื่องจากแร่ธาตุแต่ละชนิดมีชุดที่ไม่ซ้ํากันของd-spacing โดยปกติจะทําได้โดยการเปรียบเทียบระยะห่างdกับรูปแบบการอ้างอิงมาตรฐาน