7.ฮาเยียโซเฟีย หรือ ฮาเจียโซเฟีย (ภาษาตุรกี: Ayasofya, ภาษาละติน: Sanc การแปล - 7.ฮาเยียโซเฟีย หรือ ฮาเจียโซเฟีย (ภาษาตุรกี: Ayasofya, ภาษาละติน: Sanc ไทย วิธีการพูด

7.ฮาเยียโซเฟีย หรือ ฮาเจียโซเฟีย (ภ

7.ฮาเยียโซเฟีย หรือ ฮาเจียโซเฟีย (ภาษาตุรกี: Ayasofya, ภาษาละติน: Sancta Sapientia, ภาษากรีก: Ἁγία Σοφία) หรือชื่อในปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์อะยาโซเฟีย (Ayasofya Museum) เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกส์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งและมักถูกจัดให้อยู่ในรายการสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางจุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมขนาดมหึมากลางวิหาร และนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ฮาเจียโซเฟียเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมานานเกือบพันปี จนกระทั่งโบสถ์เซบียาสร้างเสร็จในปี 1520

สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างให้เป็นโบสถ์ในระหว่างปี ค.ศ. 532-537 โดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ และเป็นโบสถ์หลังที่สามถูกสร้างขึ้นในสถานที่เดียวกันนี้ (โบสถ์สองหลังแรกถูกทำลายในระหว่างการจลาจล) โบสถ์นี้เป็นศูนย์กลางของนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ เป็นเวลาเกือบ 1,000 ปี

ในปี 1453 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันพิชิตจักรวรรดิไบแซนไทน์ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 จึงดัดแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นสุเหร่า เช่นย้ายระฆัง แท่นบูชา รูปปั้นต่าง ๆ ออก และสร้างสัญลักษณ์ทางอิสลาม เช่นเสามินาเรต แทน สุเหร่าโซเฟียเป็นสุเหร่าหลักของอิสตันบูลมากว่า 500 ปี และเป็นต้นแบบของสุเหร่าออตโตมันอีกหลายแห่ง เช่นสุเหร่าสุลต่านอาเหม็ด (สุเหร่าสีน้ำเงิน), สุเหร่าเซห์ซาเด, สุเหร่าซือเลย์มานิเย และสุเหร่ารืสเตม ปาชา ในปี 1935 ฮาเจียโซเฟียก็ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์โดยสาธารณรัฐตุรกีจนถึงปัจจุบัน

อีกชื่อหนึ่งของ ฮาเจียโซเฟีย คือเซนต์โซเฟีย ซึ่งมาจากชื่อเต็มในภาษากรีก "Ναός τῆς Ἁγίας τοῦ Θεοῦ Σοφίας" แปลว่า โบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ โดยคำว่า "โซเฟีย" มาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า "ปัญญา" จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับเซนต์ที่ชื่อโซเฟียแต่อย่างใด

ประวัติศาสตร์
โบสถ์หลังแรก
หินรูปแกะที่คงเหลืออยู่จากโบสถ์ซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิธีโอโดซีอุสที่ 2โบสถ์หลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นมีชื่อว่า "Megálē Ekklēsíā" ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกใช้ต่อมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ฮาเจียโซเฟีย" หลังถูกไบแซนทิอุมยึดครองในปี 1453

เหตุการณ์เกี่ยวกับโบสถ์แห่งนี้ถูกบันทึกโดยโสกราตีสแห่งคอนสแตนติโนเปิล (ค.ศ. 380-440) ผู้ซึ่งบันทึกไว้ว่าโบสถ์ฮาเจียโซเฟียถูกสร้างโดยคอนสแตนตินมหาราช โบสถ์ถูกสร้างขึ้นติดกับบริเวณที่กำลังสร้างพระราชวัง และติดกับโบสถ์ฮาเจีย ไอรีนซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่ถูกใช้เป็นโบสถ์หลักจนกระทั่งฮาเจียโซเฟียสร้างเสร็จ จักรพรรดิคอนสแตนติอุสที่ 2 เปิดฮาเจียโซเฟียในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 360 โบสถ์ทั้งสองกลายเป็นโบสถ์ที่สำคัญของจักรวรรดิไบแซนไทน์

โบสถ์หลังแรกถูกเผาทำลายไปในเหตุการณ์จลาจลในปี 404 จนไม่หลงเหลืออะไรให้เห็นในปัจจุบัน

โบสถ์หลังที่สอง
หินอ่อนจากโบสถ์หลังที่สองโบสถ์หลังที่สองสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิธีโอโดซิอุสที่ 2 และถูกเปิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 405 โบสถ์หลังที่สองถูกไฟไหม้ที่เกิดขึ้นระหว่างการจลาจลนิกา (Nika riots) ในวันที่ 13-14 มกราคม ค.ศ. 532

หินอ่อนบางส่วนจากโบสถ์หลังที่สองยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน และถูกแสดงไว้ในสวนของโบสถ์ปัจจุบัน (หลังที่สาม) หินอ่อนเหล่านี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของทางเข้าด้านหน้าซึ่งถูกขุดพบในปี 1935

โบสถ์หลังที่สาม
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 532 หลังจากที่โบสถ์หลังที่สองถูกทำลายไปไม่นาน จักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 ตัดสินใจให้สร้างโบสถ์หลังที่สามให้ยิ่งใหญ่และสวยงามกว่าโบสถ์หลังก่อน ๆ จักรพรรดิจัสติเนียนเลือกให้นักฟิสิกส์ อิสิโดโรสแห่งมิเลตุส และนักคณิตศาสตร์ แอนเทมิอุสแห่งทราเรสเป็นสถาปนิก แต่แอนเทมิอุสเสียชีวิตลงในปีแรก มีการนำวัสดุก่อสร้างมาจากทั่วทั้งอาณาจักร เช่น เสาแบบเฮเลนิสติกจากวิหารอาร์ทีมิส เมืองเอเฟซุส หินขนาดใหญ่ถูกนำมาจากเหมืองหินที่อยู่ไกลออกไป เช่น หินเนื้อดอกจากอียิปต์ หินอ่อนเขียวจากแคว้นเทสซาลี หินดำจากแถบบอสฟอรัส และหินเหลืองจากซีเรีย ในการก่อสร้างใช้แรงงานมากกว่าหมื่นคน จักรพรรดิและสังฆราชยูติชิอุสทำการเปิดโบสถ์ใหม่ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 537 แต่การตกแต่งภายในโบสถ์ด้วยโมเสกนั้นต่อเนื่องจนถึงสมัยจักรพรรดิจัสตินที่ 2

แผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 553 และวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 557 ทำให้เกิดรอยแตกในโดมหลักและโดมทางตะวันออก โดมหลักพังลงมาทั้งหมดเพราะแผ่นดินไหวในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 558 จักรพรรดิจัสติเนียนจึงสั่งให้ทำการซ่อมแซมในทันที โดยมอบหมายให้อิโสโดรุสซึ่งเป็นหลานของอิสิโดโรสแห่งมิเลตุส ในการซ่อมแซมครั้งนี้ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเดิมและยกให้โดมสูงขึ้นอีก 6.25 เมตร ทำให้อาคารมีความสูงเท่ากับปัจจุบันคือ 55.6 เมตร[2] การซ่อมแซมครั้งนี้เสร็จในปี 562

ในปี 726 จักรพรรดิลีโอที่ 3 ออกกฎต่าง ๆ ที่ต่อต้านการบูชารูปเคารพ และสั่งให้กองทัพทำลายรูปเคารพทั้งหมด ภาพและรูปปั้นทางศาสนาจึงถูกย้ายออกจากฮาเจียโซเฟียทั้งหมด ในสมัยของจักรพรรดินีไอรีน (797-802) มีคำสั่งให้หยุดการทำลายไประยะหนึ่ง แต่หลังจากนั้นลัทธิทำลายรูปเคารพก็กลับมาอีกครั้ง จักรพรรดิทีโอฟิลุส (829-842) ได้รับอิทธิพลจากศิลปะศาสนาอิสลามซึ่งต่อต้านรูปเคารพเป็นอย่างมาก เขาสั่งให้ติดอักษรสัญลักษณ์ของเขาไว้ที่ประตูทางทิศใต้

ตัวโบสถ์ถูกทำลายอย่างหนักด้วยไฟไหม้ในปี 859 และแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 8 มกราคม 869 ซึ่งทำให้โดมเล็กหักไปข้างหนึ่ง จักรพรรดิบาซิลที่ 1 มีคำสั่งให้ซ่อมแซมโบสถ์ หลังจากนั้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 989 ซึ่งทำให้โดมใหญ่เสียหาย จักรพรรดิบาซิลที่ 2 แห่งไบแซนไทน์จึงสั่งให้สถาปนิกชาวอาร์เมเนีย ทริแดท ซึ่งสร้างโบสถ์แห่งอานี เป็นผู้ซ่อมโดม ทริแดทซ่อมส่วนอาร์ชด้านตะวันตกและส่วนหนึ่งของโดม ความเสียหายอย่างหนักของโบสถ์ทำให้การซ่อมแซมต้องใช้เวลานานถึง 6 ปี โบสถ์ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 994

0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
7. ฮาเยียโซเฟียหรือฮาเจียโซเฟีย (ภาษาตุรกี: Ayasofya, ภาษาละติน: sapientia Sancta, ภาษากรีก:ἉγίαΣοφία) หรือชื่อในปัจจุบันพิพิธภัณฑ์อะยาโซเฟีย (Ayasofya พิพิธภัณฑ์) เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกส์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่าปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่นครอิสตันบูลประเทศตุรกีและนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ฮาเจียโซเฟียเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมานานเกือบพันปี จนกระทั่งโบสถ์เซบียาสร้างเสร็จในปี 1520
1000 ปี

ในปี 1453 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันพิชิตจักรวรรดิไบแซนไทน์ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 จึงดัดแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นสุเหร่าเช่นย้ายระฆังแท่นบูชารูปปั้นต่าง ๆ ออกและสร้างสัญลักษณ์ทางอิสลามเช่นเสามินาเรตแทน500 ปี และเป็นต้นแบบของสุเหร่าออตโตมันอีกหลายแห่ง เช่นสุเหร่าสุลต่านอาเหม็ด (สุเหร่าสีน้ำเงิน)สุเหร่าเซห์ซาเด, สุเหร่าซือเลย์มานิเยและสุเหร่ารืสเตมปาชาในปี 1935 ฮาเจียโซเฟียก็ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์โดยสาธารณรัฐตุรกีจนถึงปัจจุบัน

อีกชื่อหนึ่งของฮาเจียโซเฟียคือเซนต์โซเฟียซึ่งมาจากชื่อเต็มในภาษากรีก "ΝαόςτῆςἉγίαςτοῦΘεοῦΣοφίας" แปลว่าโบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์โดยคำว่า "โซเฟีย" มาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า "ปัญญา "

ประวัติศาสตร์โบสถ์หลังแรก
หินรูปแกะที่คงเหลืออยู่จากโบสถ์ซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิธีโอโดซีอุสที่ 2โบสถ์หลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นมีชื่อว่า "Megale Ekklesia" ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกใช้ต่อมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ฮาเจียโซเฟีย"1453
380-440) ผู้ซึ่งบันทึกไว้ว่าโบสถ์ฮาเจียโซเฟียถูกสร้างโดยคอนสแตนตินมหาราช โบสถ์ถูกสร้างขึ้นติดกับบริเวณที่กำลังสร้างพระราชวัง และติดกับโบสถ์ฮาเจียไอรีนซึ่งมีขนาดเล็กกว่าจักรพรรดิคอนสแตนติอุ 2 เปิดฮาเจียโซเฟียในวันที่สที่ 15 กุมภาพันธ์คศ 360 โบสถ์ทั้งสองกลายเป็นโบสถ์ที่สำคัญของจักรวรรดิไบแซนไทน์

โบสถ์หลังแรกถูกเผาทำลายไปในเหตุการณ์จลาจลในปี 404 จนไม่หลงเหลืออะไรให้เห็นในปัจจุบัน

โบสถ์หลังที่สอง
หินอ่อนจากโบสถ์หลังที่สองโบสถ์หลังที่สองสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิธีโอโดซิอุสที่ 2 และถูกเปิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 405 โบสถ์หลังที่สองถูกไฟไหม้ที่เกิดขึ้นระหว่างการจลาจลนิกา (Nika จลาจล) ในวันที่ 13-14 มกราคม ค.ศ. 532

หินอ่อนบางส่วนจากโบสถ์หลังที่สองยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน และถูกแสดงไว้ในสวนของโบสถ์ปัจจุบัน (หลังที่สาม) หินอ่อนเหล่านี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของทางเข้าด้านหน้าซึ่งถูกขุดพบในปี 1935

โบสถ์หลังที่สาม
แอนเทมิอุสแห่งทราเรสเป็นสถาปนิก แต่แอนเทมิอุสเสียชีวิตลงในปีแรก มีการนำวัสดุก่อสร้างมาจากทั่วทั้งอาณาจักร เช่นเสาแบบเฮเลนิสติกจากวิหารอาร์ทีมิสเมืองเอเฟซุสเช่นหินเนื้อดอกจากอียิปต์หินอ่อนเขียวจากแคว้นเทสซาลีหินดำจากแถบบอสฟอรัสและหินเหลืองจากซีเรีย ในการก่อสร้างใช้แรงงานมากกว่าหมื่นคน จักรพรรดิและสังฆราชยูติชิอุสทำการเปิดโบสถ์ใหม่ในวันที่ 27 ธันวาคมคศ 537 แต่การตกแต่งภายในโบสถ์ด้วยโมเสกนั้นต่อเนื่องจนถึงสมัยจักรพรรดิจัสตินที่ 2

แผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 553 และวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ.558 จักรพรรดิจัสติเนียนจึงสั่งให้ทำการซ่อมแซมในทันที โดยมอบหมายให้อิโสโดรุสซึ่งเป็นหลานของอิสิโดโรสแห่งมิเลตุส ในการซ่อมแซมครั้งนี้ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเดิมและยกให้โดมสูงขึ้นอีก 625 เมตร ทำให้อาคารมีความสูงเท่ากับปัจจุบันคือ 55.6 เมตร [2] การซ่อมแซมครั้งนี้เสร็จในปี 562

ในปี 726 จักรพรรดิลีโอที่ 3 ออกกฎต่าง ๆ ที่ต่อต้านการบูชารูปเคารพ และสั่งให้กองทัพทำลายรูปเคารพทั้งหมด ภาพและรูปปั้นทางศาสนาจึงถูกย้ายออกจากฮาเจียโซเฟียทั้งหมด ในสมัย​​ของจักรพรรดินีไอรีน (797-802)ตัวโบสถ์ถูกทำลายอย่างหนักด้วยไฟไหม้ในปี 859 และแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 8 มกราคม 869 ซึ่งทำให้โดมเล็กหักไปข้างหนึ่งจักรพรรดิบาซิลที่ 1 มีคำสั่งให้ซ่อมแซมโบสถ์ หลังจากนั้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 989จักรพรรดิบาซิลที่ 2 แห่งไบแซนไทน์จึงสั่งให้สถาปนิกชาวอาร์เมเนีย ทริแดทซึ่งสร้างโบสถ์แห่งอานีเป็นผู้ซ่อมโดม ทริแดทซ่อมส่วนอาร์ชด้านตะวันตกและส่วนหนึ่งของโดม6 ปี โบสถ์ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 994
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
7.ฮาเยียโซเฟีย หรือฮาเจียโซเฟีย (ภาษาตุรกี: Ayasofya ภาษาละติน: Sancta Sapientia ภาษากรีก: ἉγίαΣοφία) หรือชื่อในปัจจุบันพิพิธภัณฑ์อะยาโซเฟีย (Ayasofya พิพิธภัณฑ์) เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกส์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่าปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่นครอิสตันบูลประเทศตุรกี และนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ฮาเจียโซเฟียเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมานานเกือบพันปีจนกระทั่งโบสถ์เซบียาสร้างเสร็จในปี 1520

สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างให้เป็นโบสถ์ในระหว่างปีค.ศ 532-537 โดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์และเป็นโบสถ์หลังที่สามถูกสร้างขึ้นในสถานที่เดียวกันนี้ (โบสถ์สองหลังแรกถูกทำลายในระหว่างการจลาจล) โบสถ์นี้เป็นศูนย์กลางของนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ 1000 ปี

ในปี 1453 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันพิชิตจักรวรรดิไบแซนไทน์สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 จึงดัดแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นสุเหร่าเช่นย้ายระฆังแท่นบูชารูปปั้นต่างๆ ออกและสร้างสัญลักษณ์ทางอิสลามเช่นเสามินาเรตแทน 500 ปีและเป็นต้นแบบของสุเหร่าออตโตมันอีกหลายแห่งเช่นสุเหร่าสุลต่านอาเหม็ด (สุเหร่าสีน้ำเงิน), สุเหร่าเซห์ซาเด ฮาเจียโซเฟียก็ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์โดยสาธารณรัฐตุรกีจนถึงปัจจุบันสุเหร่าซือเลย์มานิเยและสุเหร่ารืสเตมปาชาในปี 1935

อีกชื่อหนึ่งของฮาเจียโซเฟียคือเซนต์โซเฟียซึ่งมาจากชื่อเต็มในภาษากรีก "ΝΑΌΣΤῆΣἉΓΊΑΣΤΟῦΘΕΟῦΣΟΦΊΑΣ" แปลว่าโบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์โดยคำว่า "โซเฟีย" มาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า "ปัญญา"
ประวัติศาสตร์
โบสถ์หลังแรก
หินรูปแกะที่คงเหลืออยู่จากโบสถ์ซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิธีโอโดซีอุสที่ 2โบสถ์หลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นมีชื่อว่า "Megálē Ekklēsíā" ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกใช้ต่อมาเป็นเวลานานจนกระทั่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ฮาเจียโซเฟีย" 1453

เหตุการณ์เกี่ยวกับโบสถ์แห่งนี้ถูกบันทึกโดยโสกราตีสแห่งคอนสแตนติโนเปิล (ค.ศ 380-440) ผู้ซึ่งบันทึกไว้ว่าโบสถ์ฮาเจียโซเฟียถูกสร้างโดยคอนสแตนตินมหาราชโบสถ์ถูกสร้างขึ้นติดกับบริเวณที่กำลังสร้างพระราชวังและติดกับโบสถ์ฮาเจียไอรีนซึ่งมีขนาดเล็กกว่า จักรพรรดิคอนสแตนติอุสที่ 2 เปิดฮาเจียโซเฟียในวันที่ 15 กุมภาพันธ์คศ. 360 โบสถ์ทั้งสองกลายเป็นโบสถ์ที่สำคัญของจักรวรรดิไบแซนไทน์

จนไม่หลงเหลืออะไรให้เห็นในปัจจุบันโบสถ์หลังแรกถูกเผาทำลายไปในเหตุการณ์จลาจลในปี 404

โบสถ์หลังที่สอง
หินอ่อนจากโบสถ์หลังที่สองโบสถ์หลังที่สองสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิธีโอโดซิอุสที่ 2 และถูกเปิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมค.ศ. 405 โบสถ์หลังที่สองถูกไฟไหม้ที่เกิดขึ้นระหว่างการจลาจลนิกา (นิกาไอแลนด์จลาจล) ในวันที่ 13-14 มกราคมค.ศ. 532

หินอ่อนบางส่วนจากโบสถ์หลังที่สองยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบันและถูกแสดงไว้ในสวนของโบสถ์ปัจจุบัน (หลังที่สาม) หินอ่อนเหล่านี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของทางเข้าด้านหน้าซึ่งถูกขุดพบในปี 1935

โบสถ์หลังที่สาม
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ค.ศ 532 หลังจากที่โบสถ์หลังที่สองถูกทำลายไปไม่นานจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 ตัดสินใจให้สร้างโบสถ์หลังที่สามให้ยิ่งใหญ่และสวยงามกว่าโบสถ์หลังก่อนๆ จักรพรรดิจัสติเนียนเลือกให้นักฟิสิกส์อิสิโดโรสแห่งมิเลตุส แอนเทมิอุสแห่งทราเรสเป็นสถาปนิกแต่แอนเทมิอุสเสียชีวิตลงในปีแรกมีการนำวัสดุก่อสร้างมาจากทั่วทั้งอาณาจักรเช่นเสาแบบเฮเลนิสติกจากวิหารอาร์ทีมิสเมืองเอเฟซุส เช่นหินเนื้อดอกจากอียิปต์หินอ่อนเขียวจากแคว้นเทสซาลีหินดำจากแถบบอสฟอรัสและหินเหลืองจากซีเรียในการก่อสร้างใช้แรงงานมากกว่าหมื่นคนจักรพรรดิและสังฆราชยูติชิอุสทำการเปิดโบสถ์ใหม่ในวันที่ 27 ธันวาคมคศ. 537 แต่การตกแต่งภายในโบสถ์ด้วยโมเสกนั้นต่อเนื่องจนถึงสมัยจักรพรรดิจัสตินที่ 2

แผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคมค.ศ. 553 และวันที่ 14 ธันวาคมค.ศ 557 ทำให้เกิดรอยแตกในโดมหลักและโดมทางตะวันออกโดมหลักพังลงมาทั้งหมดเพราะแผ่นดินไหวในวันที่ 7 พฤษภาคมค.ศ 558 จักรพรรดิจัสติเนียนจึงสั่งให้ทำการซ่อมแซมในทันทีโดยมอบหมายให้อิโสโดรุสซึ่งเป็นหลานของอิสิโดโรสแห่งมิเลตุสในการซ่อมแซมครั้งนี้ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเดิมและยกให้โดมสูงขึ้นอีก 625 เมตรทำให้อาคารมีความสูงเท่ากับปัจจุบันคือ 55.6 เมตร [2] การซ่อมแซมครั้งนี้เสร็จในปี 562

ในปี 726 จักรพรรดิลีโอที่ 3 ออกกฎต่างๆ ที่ต่อต้านการบูชารูปเคารพและสั่งให้กองทัพทำลายรูปเคารพทั้งหมดภาพและรูปปั้นทางศาสนาจึงถูกย้ายออกจากฮาเจียโซเฟียทั้งหมดในสมัยของจักรพรรดินีไอรีน (797-802) แต่หลังจากนั้นลัทธิทำลายรูปเคารพก็กลับมาอีกครั้งจักรพรรดิทีโอฟิลุส (829-842) ได้รับอิทธิพลจากศิลปะศาสนาอิสลามซึ่งต่อต้านรูปเคารพเป็นอย่างมากเขาสั่งให้ติดอักษรสัญลักษณ์ของเขาไว้ที่ประตูทางทิศใต้

ตัวโบสถ์ถูกทำลายอย่างหนักด้วยไฟไหม้ในปี 859 และแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 8 มกราคม 869 ซึ่งทำให้โดมเล็กหักไปข้างหนึ่งจักรพรรดิบาซิลที่ 1 มีคำสั่งให้ซ่อมแซมโบสถ์หลังจากนั้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 989 จักรพรรดิบาซิลที่ 2 แห่งไบแซนไทน์จึงสั่งให้สถาปนิกชาวอาร์เมเนียทริแดทซึ่งสร้างโบสถ์แห่งอานีเป็นผู้ซ่อมโดมทริแดทซ่อมส่วนอาร์ชด้านตะวันตกและส่วนหนึ่งของโดม 6 ปีโบสถ์ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 994

การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
7 .ฮาเยียโซเฟียหรือฮาเจียโซเฟีย( ภาษาตุรกี ayasofya ภาษาละติน sancta sapientia ภาษากรีกἁγίασοφία)หรือชื่อในปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์อะยาโซเฟีย ( ayasofya พิพิธภัณฑ์ )เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ที่นครอิสตันบูลประเทศตุรกีและนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรฮาเจียโซเฟียเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งโบสถ์เซบียาสร้างเสร็จในปี 1520 - - ข้อกำหนด

สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างค.ศ.532-537 โดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทและเป็นโบสถ์หลังที่สามถูกสร้างขึ้นในสถานที(โบสถ์สองหลังแรกถูกทำลายในระหว่างการจลาจล)โบสถ์นี้เป็นศูนย์กลางของนิกายอีสเติร์นออร์1000 ปี

ในปี 1453 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันพิชิตจักรวรรดิไสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 จึงดัดแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นสุเหร่าเช่นย้ายระฆังแท่นบูชารูปปั้นต่างๆออกและสร้างสัญลักษณ์ทางอิสลามเช่นเสามินาเรตแทน500 ปีและเป็นต้นแบบของสุเหร่าออตโตมันอีกหลายแห่งเช่นสุเหร่าสุลต่านอาเหม็ด(สุเหร่าสีน้ำเงิน)สุเหร่าเซห์ซาเด,สุเหร่าซือเลย์มานิเยและสุเหร่ารืสเตมปาชาในปี ฮาเจียโซเฟียก็ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์โดยส เมื่อปี 1935อีกชื่อหนึ่งของฮาเจียโซเฟียคือเซนต์โซเฟีย ซึ่งมาจากชื่อเต็มในภาษากรีก "ναόςτῆςἁγίαςτοῦθεοῦσοφίας"แปลว่าโบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์โดยคำว่า"โซเฟีย" มาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า "ปัญญา"

ประวัติศาสตร์โบสถ์หลังแรก
หินรูปแกะที่คงเหลืออยู่จากโบสถ์ซึ่งสร้างโด 2 โบสถ์หลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นมีชื่อว่า" megálē ekklēsíā "ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกใช้ต่อมาเป็นเวลานานจนกระทั่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น"ฮาเจียโซเฟีย"1453

เหตุการณ์เกี่ยวกับโบสถ์แห่งนี้ถูกบันทึกโดย(ค.ศ.380-440 )ผู้ซึ่งบันทึกไว้ว่าโบสถ์ฮาเจียโซเฟียถูกสร้โบสถ์ถูกสร้างขึ้นติดกับบริเวณที่กำลังสร้างและติดกับโบสถ์ฮาเจียไอรีนซึ่งมีขนาดเล็กกว่าจักรพรรดิคอนสแตนติอุสที่ 2 เปิดฮาเจียโซเฟียในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 360 โบสถ์ทั้งสองกลายเป็นโบสถ์ที่สำคัญของจักรวร 404 จนไม่หลงเหลืออะไรให้เห็นในปัจจุบัน

โบสถ์หลั
หินอ่อนจากโบสถ์หลังที่สองโบสถ์หลังที่สองสร 2 และถูกเปิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมค.ศ. 405 โบสถ์หลังที่สองถูกไฟไหม้ที่เกิดขึ้นระหว่าง( nika จลาจล)ในวันที่ 13-14 มกราคมค.ศ. 532

หินอ่อนบางส่วนจากโบสถ์หลังที่สองยังคงเหลือและถูกแสดงไว้ในสวนของโบสถ์ปัจจุบัน(หลังที่สาม)หินอ่อนเหล่านี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของทางเข้า 1935

โบสถ์หลังที่สาม
ตามมาตรฐานในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ.532 หลังจากที่โบสถ์หลังที่สองถูกทำลายไปไม่นานจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 ตัดสินใจให้สร้างโบสถ์หลังที่สามให้ยิ่งใหญ่ๆจักรพรรดิจัสติเนียนเลือกให้นักฟิสิกส์อิสิโดโรสแห่งมิเลตุสแอนเทมิอุสแห่งทราเรสเป็นสถาปนิกแต่แอนเทมิอุสเสียชีวิตลงในปีแรกมีการนำวัสดุก่อสร้างมาจากทั่วทั้งอาณาจักรเช่นเสาแบบเฮเลนิสติกจากวิหารอาร์ทีมิสเมืองเอเฟซุสเช่นหินเนื้อดอกจากอียิปต์หินอ่อนเขียวจากแคว้นเทสซาลีหินดำจากแถบบอสฟอรัสและหินเหลืองจากซีเรียในการก่อสร้างใช้แรงงานมากกว่าหมื่นคนจักรพรรดิและสังฆราชยูติชิอุสทำการเปิดโบสถ์ 27 ธันวาคมค.ศ. 537 แต่การตกแต่งภายในโบสถ์ด้วยโมเสกนั้นต่อเนื่ 2

แผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคมค.ศ. 553 และวันที่ 14 ธันวาคมค.ศ.557 ทำให้เกิดรอยแตกในโดมหลักและโดมทางตะวันออกโดมหลักพังลงมาทั้งหมดเพราะแผ่นดินไหวในวันท 7 พฤษภาคม ค.ศ.558 จักรพรรดิจัสติเนียนจึงสั่งให้ทำการซ่อมแซมใโดยมอบหมายให้อิโสโดรุสซึ่งเป็นหลานของอิสิโในการซ่อมแซมครั้งนี้ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีน 6 .25 เมตรทำให้อาคารมีความสูงเท่ากับปัจจุบันคือ 55.6 เมตร[ 2 ]การซ่อมแซมครั้งนี้เสร็จในปี 562

ในปี 726 จักรพรรดิลีโอที่ 3 ออกกฎต่างๆที่ต่อต้านการบูชารูปเคารพและสั่งให้กองทัพทำลายรูปเคารพทั้งหมด ภาพและรูปปั้นทางศาสนาจึงถูกย้ายออกจากฮาเจี ในสมัยของจักรพรรดินีไอรีน( 797-802 )แต่หลังจากนั้นลัทธิทำลายรูปเคารพก็กลับมาอีจักรพรรดิทีโอฟิลุส( 829-842 )ได้รับอิทธิพลจากศิลปะศาสนาอิสลามซึ่งต่อต้าเขาสั่งให้ติดอักษรสัญลักษณ์ของเขาไว้ที่ประ
ตัวโบสถ์ถูกทำลายอย่างหนักด้วยไฟไหม้ในปี 859 และแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 8 มกราคม 869 ซึ่งทำให้โดมเล็กหักไปข้างหนึ่งจักรพรรดิบาซิลที่ 1 มีคำสั่งให้ซ่อมแซมโบสถ์หลังจากนั้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 989จักรพรรดิบาซิลที่ 2 แห่งไบแซนไทน์จึงสั่งให้สถาปนิกชาวอาร์เมเนีทริแดทซึ่งสร้างโบสถ์แห่งอานีเป็นผู้ซ่อมโดมทริแดทซ่อมส่วนอาร์ชด้านตะวันตกและส่วนหนึ่ง6 ปีโบสถ์ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 994

การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: