Cognitive dissonance theory (Festin

Cognitive dissonance theory (Festinger 1957) posits that individuals will engage in deviant
behavior and then rationalize that behavior in order to improve their self-concept. Cognitive
dissonance is centered on the internal conflict one suffers when one’s actions (e.g., ethical and legal
violation) are inconsistent with their beliefs about who they are (i.e., a ‘‘good person’’); this results
in one working to relieve the stress associated with the fraud act and the fear of getting caught. This
theory has provided the underpinnings for literally thousands of published papers (see Cooper
[2007] for a review of 50 years of cognitive dissonance research). In our view, cognitive dissonance
has not been carefully examined by accounting researchers and could be used to help our
understanding of the psychology of the fraudster (for additional background reading, consider
Festinger [1957], Ross and Nisbett [1991], Sykes and Matza [1957], and Coleman [2001]).

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ทฤษฎีประสานองค์ (Festinger 1957) posits
ว่าบุคคลที่จะมีส่วนร่วมในการเบี่ยงเบนพฤติกรรมแล้วหาเหตุผลเข้าข้างตนเองพฤติกรรมที่เพื่อที่จะปรับปรุงตัวเองของพวกเขาแนวคิด ความรู้ความเข้าใจความไม่สอดคล้องกันเป็นศูนย์กลางในความขัดแย้งภายในหนึ่งทนทุกข์ทรมานเมื่อการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง(เช่นจริยธรรมและกฎหมายละเมิด) ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของพวกเขาเกี่ยวกับว่าเขาเป็นใคร (เช่น '' คนดี ''); ส่งผลในการทำงานเพื่อลดความเครียดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำการทุจริตและความหวาดกลัวของการจับ นี้ทฤษฎีได้ให้การหนุนหลังสำหรับนับพันเอกสารเผยแพร่ (ดูคูเปอร์ [2007] สำหรับความคิดเห็นของ 50 ปีของการวิจัยประสานองค์ก) ในมุมมองของเราประสานองค์ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบโดยนักวิจัยการบัญชีและสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้เราเข้าใจในจิตวิทยาของการฉ้อฉลที่(สำหรับการอ่านพื้นหลังเพิ่มเติมพิจารณาFestinger [1957], รอสส์และ Nisbett [1991] Sykes และ Matza [1957] และโคลแมน [2001])

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ทฤษฎีความไม่สอดคล้องกัน ( เฟสติงเกอร์ 2500 ) posits ที่บุคคลจะ มีส่วนร่วมใน พฤติกรรมเบี่ยงเบน
แล้วตัดสินว่าพฤติกรรมเพื่อพัฒนาอัตมโนทัศน์ของตนเอง การคิด
ไม่สอดคล้องกันอยู่กึ่งกลางบนความขัดแย้งภายในหนึ่งทนทุกข์ทรมานเมื่อหนึ่งของการกระทำ ( เช่น ด้านกฎหมายและจริยธรรม
การละเมิด ) ที่สอดคล้องกับความเชื่อของตนเกี่ยวกับพวกเขาคือใคร ( คือ ' คน ' ความดี ' ) ;ผลลัพธ์
ในหนึ่งทำงานเพื่อบรรเทาความเครียดที่เกี่ยวข้องกับการทำและกลัวถูกจับ ทฤษฎีนี้
ได้ให้ underpinnings อักษรหลายพันของเอกสารเผยแพร่ ( ดูคูเปอร์
[ 2007 ] สำหรับการตรวจทานของ 50 ปีของความไม่สอดคล้องกันวิจัย ) ในมุมมองของเรา ความคิดไม่สอดคล้องกัน
ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยนักวิจัยทางบัญชีและสามารถใช้เพื่อช่วยให้เราเข้าใจ
ของจิตวิทยาของ fraudster ( อ่าน , พื้นหลังเพิ่มเติมพิจารณา
เฟสติงเกอร์ [ 1957 ] , Ross และ nisbett [ 1991 ] , และ [ 1957 ] ไซค์ Matza และโคลแมน [ 2001 ] )