Antarctica is the coldest, darkest,

Antarctica is the coldest, darkest, and windiest continent on
earth [1]. The main portion of the continent consists of ice sheets
and bare mountain that is hostile for living conditions. It is
therefore uninhabitable without energy that can be used for
heating and lighting. The continent belongs to no state or government
and is dedicated basically for research purposes. To
ensure peace and promotion of science, a treaty was draughted
thereby given liberty to any nation that wishes to establish
research stations [2]. The treaty which was signed in 1961 facilitates
a favourable cooperation between nations. The Government
of Argentina, Australia, Belgium, Chile, France, Japan, New Zealand,
Russia, Britain, Northern Island, USA and the South African are the
twelve original signatory to the Antarctic treaty [3]. The treaty
restrains human, military or mining activities and prohibits usage
of nuclear power in any form. All in a bit to ensure Antarctica
environment is preserved. All activities regarding environment is
being supervised by specific environmental committee in order to
ensure that all agreement are kept.
A significant amount of energy is required to provide conducive
environment for working and living condition under an extreme
climatic condition like that of Antarctica. At present, most of these
energy requirements are met through the use of diesel generators.
However, the haulage of diesel involves considerable environmental
risk. It is also uneconomical as the cost of diesel at the
point of use is about three times the purchasing cost due to
transportation expenses [4]. These have motivated the use of
alternative sources such as wind and solar technology at some of
the base stations in Antarctica to reduce the cost of fuel and
environmental pollution. For example, three 330 kW wind turbine
are in use at US's McMurdo and New Zealand's Scot base stations
in Ross Island since 2010. This has reduced the diesel usage by
about 463,000 litre per annum thereby cutting down the CO2
emission by 1242 tonnes a year [5]. It is believed that renewable
energy electricity can provide the entire energy requirement of the
base stations, using diesel generator only as back-up.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ทวีปแอนตาร์กติกาเป็นทวีปหนาวที่สุด มืด และ windiestโลก [1] ส่วนหลักของทวีปประกอบไปด้วยแผ่นน้ำแข็งและภูเขาเปลือยที่เป็นมิตรสำหรับสภาพความเป็นอยู่ มันเป็นuninhabitable ดังนั้นจึงไม่ มีพลังงานที่สามารถใช้สำหรับเครื่องทำความร้อน และแสงสว่าง ทวีปเป็นของรัฐหรือรัฐบาลไม่มีโดยทั่วไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการวิจัย ถึงสันติภาพและโปรโมชั่นของวิทยาศาสตร์ สนธิสัญญาถูก draughtedจึงให้เสรีภาพในประเทศใด ๆ ที่ประสงค์ที่จะสร้างสถานีวิจัย [2] สนธิสัญญาที่ลงนามในปี 1961 อำนวยความสะดวกความร่วมมือที่ดีระหว่างประเทศ รัฐบาลของออสเตรเลีย เบลเยี่ยม ชิลี อาร์เจนตินา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์รัสเซีย อังกฤษ เกาะเหนือ สหรัฐอเมริกา และแอฟริกาใต้นามเดิมสิบสองเพื่อสนธิสัญญาแอนตาร์กติก [3] สนธิสัญญาการยับยั้งมนุษย์ ทหาร หรือกิจกรรมการทำเหมืองแร่ และห้ามการใช้งานพลังงานนิวเคลียร์ในรูปแบบใด ในบิตให้ทวีปแอนตาร์กติกาสภาพแวดล้อมจะถูกรักษาไว้ มีกิจกรรมทั้งหมดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการดูแล โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเฉพาะเจาะจงเพื่อให้ให้แน่ใจว่า ข้อตกลงทั้งหมดจะถูกเก็บไว้จำนวนพลังงานจะต้องมีกำลังสภาพแวดล้อมการทำงานและสภาพชีวิตภายใต้รุนแรงสภาพภูมิอากาศเช่นของทวีปแอนตาร์กติกา ที่อยู่ ส่วนใหญ่เหล่านี้ตรงตามความต้องการพลังงานโดยใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลอย่างไรก็ตาม ชักลากของดีเซลเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมองถนนความเสี่ยง ก็ยังเป็นต้นทุนของน้ำมันดีเซลที่ทางการใช้ได้ 3 ครั้งซื้อต้นทุนการค่าขนส่ง [4] เหล่านี้มีแรงบันดาลใจในการใช้แหล่งทางเลือกเช่นลมและพลังงานแสงอาทิตย์เทคโนโลยีบางอย่างของสถานีฐานในทวีปแอนตาร์กติกาเพื่อลดต้นทุนของเชื้อเพลิง และมลพิษสิ่งแวดล้อม เช่น สาม 330 kW กังหันลมใช้ที่สถานีฐาน McMurdo ของเราและแฟชั่นของประเทศไทยในเกาะ Ross ตั้งแต่ 2010 นี้ได้ลดการใช้ดีเซลโดยประมาณ 463,000 ลิตรต่อปีจึงตัดลง CO2ปล่อย โดย 1242 ตันต่อปี [5] ทำให้เชื่อว่าทดแทนพลังงานไฟฟ้ามีความต้องการพลังงานทั้งหมดของการสถานีฐาน ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลเป็นสำรองเท่านั้น