Soil and water conservation measure

Soil and water conservation measures can impact hydrological cycle, but quantitative analysis of this impact is still difficult in a watershed scale. To assess the effect quantitatively, a three-dimensional finite-difference groundwater flow model (MODFLOW) with a surface runoff model–the Soil Conservation Service (SCS) were calibrated and applied based on the artificial rainfall experiments. Then, three soil and water conservation scenarios were simulated on the sand-box model to assess the effect of bare slope changing to grass land and straw mulching on water volume, hydraulic head, runoff process of groundwater and surface water. Under the 120 mm rainfall, 60 mm/h rainfall intensity, 5 m2 area, 3° slope conditions, the comparative results indicated that the trend was decrease in surface runoff and increase in subsurface runoff coincided with the land-use converted from bare slope to grass land and straw mulching. The simulated mean surface runoff modulus was 3.64×10−2 m3/m2/h in the bare slope scenario, while the observed values were 1.54×10−2 m3/m2/h and 0.12×10−2 m3/m2/h in the lawn and straw mulching scenarios respectively. Compared to the bare slope, the benefits of surface water reduction were 57.8% and 92.4% correspondingly. At the end of simulation period (T = 396 min), the simulated mean groundwater runoff modulus was 2.82×10−2 m3/m2/h in the bare slope scenario, while the observed volumes were 3.46×10−2 m3/m2/h and 4.91×10−2 m3/m2/h in the lawn and straw mulching scenarios respectively. So the benefits of groundwater increase were 22.7% and 60.4% correspondingly. It was concluded that the soil and water conservation played an important role in weakening the surface runoff and strengthening the underground runoff. Meanwhile the quantitative analysis using a modeling approach could provide a thought for the study in a watershed scale to help decision-makers manage water resources.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

มาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำสามารถส่งผลกระทบต่อวงจรอุทกวิทยา แต่การวิเคราะห์เชิงปริมาณของผลกระทบนี้ได้ยากยังคงในระดับลุ่มน้ำ การประเมินผล quantitatively สามมิติความแตกต่างการจำกัดน้ำไหลแบบ (MODFLOW) กับไหลบ่าที่ผิวปรับเทียบ และใช้รูปแบบหมายดินอนุรักษ์บริการ (อันคุ้มค่า) ตามการทดลองฝนเทียม แล้ว 3 ดินและน้ำการอนุรักษ์สถานการณ์ถูกจำลองในแบบจำลองกล่องทรายเพื่อประเมินผลของเปลือยความชันเปลี่ยนแปลงดินหญ้าและฟางคลุมบนกระบวนการไหลบ่าของน้ำใต้ดินและผิวน้ำ ปริมาณน้ำ ไฮดรอลิกเฮด ภายใต้ 120 มม.ปริมาณน้ำฝน ความเข้มฝน 60 mm/h, 5 m2 บริเวณ 3 องศาความชันเงื่อนไข ผลการเปรียบเทียบแสดงว่า แนวโน้มลดลงในผิวที่ไหลบ่าและเพิ่มการไหลบ่า subsurface ร่วมกับการใช้ที่ดินที่แปลงดินหญ้าและฟางคลุมจากลาดเปลือย โมดูลัสจำลองหมายถึงพื้นผิวที่ไหลบ่าเป็น 3.64 × 10−2 m3/m2/h ในสถานการณ์ลาดเปลือย ขณะที่ค่าสังเกต 1.54 × 10−2 m3/m2/h และ 0.12 ฟิลด์ 10−2 m3/m2/h ในสนามหญ้าและฟางที่คลุมสถานการณ์ตามลำดับ เมื่อเทียบกับลาดเปลือย ประโยชน์ของน้ำผิวดินลดได้ 57.8% และ 92.4% ตามลำดับ ในตอนท้ายของรอบระยะเวลาของการจำลอง (T = 396 นาที), โมดูลัสการไหลบ่าของน้ำบาดาลหมายถึงจำลองอยู่ 2.82 × 10−2 m3/m2/h ในสถานการณ์ลาดเปลือย ขณะที่ไดรฟ์ข้อมูลที่สังเกตได้ 3.46 × 10−2 m3/m2/h และ 4.91 × 10−2 m3/m2/h ในสนามหญ้าและฟางที่คลุมสถานการณ์ตามลำดับ ดังนั้น ประโยชน์ของน้ำบาดาลเพิ่มขึ้น 22.7% และ 60.4% จำนวน มีสรุปว่า การอนุรักษ์ดินและน้ำเล่นมีบทบาทสำคัญในการไหลบ่าที่ผิวลดลง และเพิ่มการไหลบ่าใต้ดิน ในขณะเดียวกัน การวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยใช้วิธีการสร้างโมเดลสามารถให้ความคิดสำหรับการศึกษาในระดับลุ่มน้ำเพื่อช่วยให้ผู้ผลิตตัดสินใจในการจัดการทรัพยากรน้ำ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ดินและมาตรการการอนุรักษ์น้ำสามารถส่งผลกระทบวงจรอุทกวิทยา แต่การวิเคราะห์เชิงปริมาณของผลกระทบนี้ยังคงเป็นเรื่องยากในระดับลุ่มน้ำ เพื่อประเมินผลกระทบเชิงปริมาณเป็นสามมิติ จำกัด แตกต่างกันรูปแบบการไหลของน้ำใต้ดิน (MODFLOW) ที่มีการไหลบ่าผิวรูปแบบการให้บริการการอนุรักษ์ดิน (SCS) ได้รับการสอบเทียบและนำไปใช้ขึ้นอยู่กับการทดลองปริมาณน้ำฝนเทียม จากนั้นสามดินและสถานการณ์การอนุรักษ์น้ำถูกจำลองในรูปแบบกล่องทรายเพื่อประเมินผลกระทบของความลาดชันเปลือยเปลี่ยนไปยังดินแดนหญ้าและฟางคลุมดินกับปริมาณน้ำหัวไฮดรอลิกระบวนการการไหลบ่าของน้ำบาดาลและน้ำผิวดิน ภายใต้ปริมาณน้ำฝนมม 120, 60 มิลลิเมตร / ชั่วโมงความเข้มของปริมาณน้ำฝน 5 m2 พื้นที่ 3 °เงื่อนไขลาดผลการเปรียบเทียบชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มการลดลงของการไหลบ่าของพื้นผิวและการเพิ่มขึ้นของการไหลบ่าดินใกล้เคียงกับการใช้ที่ดินแปลงมาจากลาดเปลือย ที่ดินหญ้าคลุมดินและฟาง พื้นผิวเฉลี่ยจำลองโมดูลัสที่ไหลบ่าเป็น 3.64 × 10-2 m3 / m2 / ชั่วโมงในสถานการณ์ที่ลาดเปล่าในขณะที่ค่าสังเกตเป็น 1.54 × 10-2 m3 / m2 / ชั่วโมงและ 0.12 × 10-2 m3 / m2 / ชั่วโมงใน สนามหญ้าและสถานการณ์ฟางคลุมดินตามลำดับ เมื่อเทียบกับความลาดชันเปล่าประโยชน์ของผิวลดน้ำเป็น 57.8% และ 92.4% ตามลําดับ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการจำลอง (T = 396 นาที) หมายถึงโมดูลัสที่ไหลบ่าน้ำบาดาลจำลอง 2.82 × 10-2 m3 / m2 / ชั่วโมงในสถานการณ์ที่ลาดเปล่าในขณะที่ปริมาณการสังเกตเป็น 3.46 × 10-2 m3 / m2 / ชั่วโมงและ 4.91 × 10-2 m3 / m2 / ชมในสนามหญ้าและฟางสถานการณ์คลุมดินตามลำดับ ดังนั้นประโยชน์ของการเพิ่มขึ้นของน้ำบาดาลเป็น 22.7% และ 60.4% ตามลําดับ ก็สรุปได้ว่าการอนุรักษ์ดินและน้ำมีบทบาทสำคัญในการลดลงที่ไหลบ่าพื้นผิวและเสริมสร้างการไหลบ่าใต้ดิน ในขณะเดียวกันการวิเคราะห์เชิงปริมาณใช้วิธีการสร้างแบบจำลองสามารถให้ความคิดสำหรับการศึกษาในระดับลุ่มน้ำที่จะช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

มาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำ สามารถส่งผลกระทบต่อวงจร แต่การวิเคราะห์เชิงปริมาณของผลกระทบนี้ยังยากอยู่ในลุ่มน้ำขนาด เพื่อศึกษาผลกระทบเชิงปริมาณ ผลสามมิติแบบจำลองการไหลของน้ำใต้ดิน ( ผล ) กับพื้นผิวแบบจำลองน้ำท่า–บริการการอนุรักษ์ดิน ( SCS ) ได้ทำการสอบเทียบและประยุกต์จากการทดลองฝนเทียมแล้วสามสถานการณ์การอนุรักษ์ดินและน้ำบนหาดทรายกล่องโมเดลจำลอง เพื่อศึกษาถึงผลของการเปลี่ยนแปลงที่ดินเปลือยลาดหญ้าและฟางคลุมดินปริมาณน้ำไฮดรอลิกหัวกระบวนการน้ำท่าน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน ภายใต้ 120 มม. ปริมาณน้ำฝน , 60 มม. / ชม. ปริมาณน้ำฝน ความเข้ม 5 M2 พื้นที่ 3 องศาสภาพความลาดชันของพื้นที่ผลการศึกษา พบว่า มีแนวโน้มลดลง และเพิ่มในน้ำใต้ดิน น้ำผิวดินที่ไหลไหลบ่าที่สอดคล้องกับการแปลงจากลาดหญ้าและฟางคลุมดินเปล่าที่ดิน . นี้หมายถึงผิวดินัสคือ 3.64 × 10 − 2 m3 / m2 / H ในสถานการณ์ลาดเปลือยในขณะที่สังเกตมูลค่า 1.54 × 10 − 2 m3 / ตารางเมตร / ชั่วโมงและ 012 × 10 − 2 m3 / m2 / h ในสนามหญ้าและคลุมฟางสถานการณ์ตามลำดับ เมื่อเทียบกับความชันเปลือย , ประโยชน์ของการลดน้ำผิวดินเป็น 57.8 เปอร์เซ็นต์และร้อยละ 92.4 ต้องกัน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการจำลอง ( T   =   396 นาที ) นี้หมายถึงน้ำไหลบ่าัสเท่ากับ 2.82 × 10 − 2 m3 / m2 / H ในสถานการณ์ลาดเปลือย ในขณะที่พบปริมาณเป็น 3.46 × 10 − 2 m3 / m2 / H และ 491 × 10 − 2 m3 / m2 / h ในสนามหญ้าและคลุมฟางสถานการณ์ตามลำดับ ดังนั้นประโยชน์ของการเพิ่มน้ำใต้ดินเป็น 22.7 % และ 60.4% ต้องกัน สรุปได้ว่า การอนุรักษ์ดินและน้ำมีบทบาทสำคัญในระดับผิวดิน และการเพิ่มปริมาณน้ำท่าใต้ดินและการวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยใช้แบบจำลองสามารถให้ความคิดสำหรับการศึกษาในระดับลุ่มน้ำเพื่อช่วยการเงินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ