โรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำงานของไตเป็นระยะเวลานานมากกว่า 3 เดือน (1) โดยปกติไตจะทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกทางปัสสาวะ หากไตทำงานผิดปกติก็จะทำให้การขับของเสียผิดปกติไป ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่น ๆ ด้วย โรคไตซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุที่ไตโดยตรงหรือจากโรคประจำตัวของผู้ป่วย เช่น โรคเบาหวาน หรือ ความดันโลหิตสูง ถ้าหากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรือไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะทำให้การทำหน้าที่ของไตเสื่อมลงจนเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ตามอัตราการกรองของไต ได้แก่ ระยะที่ 1 มีอัตราการกรอง
90 – 100% ระยะที่ 2 มีอัตราการกรอง 60 – 89% ระยะที่ 3 มีอัตราการกรอง 30 – 59% ระยะที่ 4 มีอัตรา การกรอง 15 – 29 % และระยะที่ 5 หรือระยะสุดท้าย มีอัตราการกรองน้อยกว่า 15% ซึ่งซึ่งหากเป็นโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายจะนี้มีการรักษาที่ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก ได้แก่ การบำบัดทดแทนไต และการปลูกถ่ายไต (2) สำหรับ การบำบัดทดแทนไต สามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่ วิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) และวิธีการล้างไตทางช่องท้อง (peritoneal dialysis) ในปัจจุบันโรคไตจัดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตที่ได้รับการรักษาโดยการฟอกเลือดหรือการล้างไตทางช่องท้อง จำนวนมาก โดยข้อมูลจาก Thai SEEK study ในปี พ.ศ. 2550 – 2552 พบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังร้อยละ 17.56 หรือประมาณ 7.06 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 17.56 หรือ (3) และจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2557 รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคไตวายจำนวน 520,856 คน (4) โดยมีผู้ป่วยโรคไตจำนวนมากที่ได้รับการรักษาโดยการฟอกเลือดหรือการล้างไตทางช่องท้อง จะเห็นได้ว่าโรคไตเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ
ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไตจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและมักมีโรคร่วมหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา ซึ่งพบว่าการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังที่บ้านจะะตกเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยเป็นส่วนใหญ่ และเนื่องจาก ซึ่งการดูแลผู้ป่วยนั้นเป็นงานที่หนักและต้องอาศัยความพยายามเป็นอย่างมาก ผู้ดูแลจึงต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ของตนเองไปจากเดิมที่เคยดำรงอยู่ เช่น ต้องสูญเสียรายได้จากการประกอบอาชีพและ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ทำให้สูญเสียรายได้จากการประกอบอาชีพ มีความเหน็ดเหนื่อยจนก่อให้เกิดความเครียดซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ดูแลเอง ทั้ง ในด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมของผู้ดูแล อีกทั้งยังทำให้ผู้ดูแลมีภาวะสุขภาพเบี่ยงเบนจนนำไปสู่การเกิดปัญหาต่าง ๆ ได้ ทั้งปัญหาในด้านการดูแลผู้ป่วยและปัญหาส่วนตัว ทำให้ผู้ดูแลอาจรู้สึกวิตกกังวล รู้สึกผิด แยกตัวเองออกจากสังคม รวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำลงได้ และอาจซึ่งจะส่งผลให้ต่อประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยที่ลดลงด้วย
คุณภาพชีวิต (quality of life) หมายถึง การรับรู้ความพึงพอใจและสถานะของบุคคลในการดำรงชีวิตในสังคม โดยจะสัมพันธ์กับเป้าหมายและความคาดหวังของตนเอง ภายใต้บริบทของวัฒนธรรม ค่านิยม มาตรฐานของสังคม และสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (5) เนื่องจากคุณภาพชีวิตจัดเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ทางการรักษาที่สำคัญ ทำให้มีการพัฒนาแบบวัดคุณภาพชีวิตขึ้นมาหลายฉบับ เช่น การวัดคุณภาพชีวิตควรมีองค์ประกอบของดัชนีคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นตัวชี้วัดทางสังคมที่สำคัญ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกได้พัฒนาแบบวัดคุณภาพชีวิตแบบทั่วไปชื่อ….. ได้แก่ (WHOQOL – 100) ซึ่งประกอบด้วยข้อคำถามจำนวน 100 ข้อ และฉบับย่อ (WHOQOL- BREF) ซึ่งประกอบด้วยข้อคำถามจำนวน 26 ข้อ ซึ่งแบบวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อนี้ ได้มีการนำมาพัฒนาเป็นภาษาไทย (WHOQOL-BREF-THAI) โดยสุวัฒน์ มหัตนิรันดร์กุลและคณะ สำหรับนำมาใช้วัดคุณภาพชีวิตแบบทั่วไปได้ ส่วนการวัดคุณภาพชีวิตแบบเฉพาะด้าน เช่น แบบวัดภาระในการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเรื้อรังฉบับภาษาไทย มีข้อคำถามจำนวน 22 ข้อ เพื่อใช้ในการประเมินภาระในการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเรื้อรังได้ (6)
จากการศึกษาแบบภาคตัดขวางของ Belasco และคณะ (2006) ได้ทำการศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกเลือด (hemodialysis) และการล้างไตทางช่องหน้าท้อง (peritoneal dialysis) ใน Dialysis dialysis clinics ของเมือง Sao Paulo ประเทศบราซิล โดยศึกษาใน ผู้ดูแลผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 65 ปีและทำการฟอกเลือด hHemodialysis จำนวน 84 คน ผู้ดูแลผู้ป่วยที่ทำ Peritoneal dialysis จำนวน 40 คน และผู้ดูแลผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่าไม่ถึง 65 ปีและทำการฟอกเลือด hHemodialysis จำนวน 77 คน และผู้ดูแลผู้ป่วยที่ทำการล้างไตทาง
ช่องท้อง peritoneal dialysis จำนวน 40 คน ( โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวัดคุณภาพชีวิต ได้แก่ แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวัด ประกอบด้วย แบบสอบถามแบบสัมภาษณ์ the Mmedical Ooutcomes survey Study 36-Iitem short Short form Form Hhealth Ssurvey (SF - 36) ซึ่งเป็นแบบวัดคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพแบบทั่วไป ที่ใช้วัดด้านคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ, Ccaregiver Bburden (CB) scale ซึ่งเป็นแบบที่ใช้วัดด้านภาระของการดูแลผู้ป่วย และ Cognitive Depression Index (CDI) cognitive index of depression ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดที่สามารถใช้วัดระดับความเครียดของการดูแลผู้ป่วย จากการศึกษาพบว่าผู้ดูแล ผู้ป่วยที่ทำ peritoneal dialysisการล้างไตทางช่องท้อง มีคะแนนจากการทำแบบสอบถามแบบสัมภาษณ์ SF-36 ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ดูแลผู้ป่วยที่ทำการฟอกเลือด hemodialysis ซึ่งโดยพบว่าผลกระทบส่วนใหญ่สัมพันธ์กับองค์ประกอบทางด้านจิตใจ เช่น กำลังกายความมีชีวิตชีวา ( vitality) การได้รับการยอมรับทางสังคม ด้านอารมณ์ และสุขภาวะทางใจ และนอกจากจากมีการ