Research BackgroundOrganic Food Pro

Research Background
Organic Food Products at Conventional Retail
Outlets
Currently, consumers in the United States buy more organic
products in traditional supermarkets than in other outlets
(TABS 2012). At the same time, traditional supermarkets
are increasingly promoting organic products through various
in-store marketing programs (e.g., increasing variety,
displays). Because organics have higher gross margins—
30% to 50% versus 20% to 25% for conventional products
(Oberholtzer, Green, and Lopez 2006; Roheim and D'Silva
2009) —promoting them should enhance total category
profits and store revenues. However, academic literature
has yet to verify such performance effects of marketing
actions for organics because it has focused instead on other
supply-side and demand-side issues (Thompson 1998).
On the supply side, Dimitri and Oberholtzer (2009) find
that organic fanners sometimes struggle to provide sufficient
supply to keep up with the rapid growth in demand,
and Ciu (2008) reports that some farmers have struggled to
obtain the necessary certification to market produce as
organic. Finally, Tondel and Woods (2006) find that organic
supply is becoming more competitive and efficient, lowering
prices throughout the supply chain.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

พื้นหลังการวิจัย
ผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ที่เดิมค้าปลีก

ร้านค้าในปัจจุบันผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาซื้อสินค้า
อินทรีย์มากขึ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตแบบดั้งเดิมกว่าในสาขาอื่น ๆ
(แท็บ 2012) ในเวลาเดียวกัน, ซูเปอร์มาร์เก็ตแบบดั้งเดิม
มีมากขึ้นในการส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ผ่านช่องทางต่างๆ
โปรแกรมการตลาดในห้าง (เช่นเพิ่มความหลากหลายการแสดง
)เพราะมีสารอินทรีย์สูงกว่าขั้นต้นขอบ-
30% ถึง 50% เทียบกับ 20% ถึง 25% สำหรับผลิตภัณฑ์ธรรมดา
(Oberholtzer สีเขียวและโลเปซ 2006; roheim และซิลวา
2009) การส่งเสริมพวกเขาควรจะเพิ่มหมวดหมู่ทั้งหมดและผลกำไร
รายได้จากการจัดเก็บ แต่นักวิชาการวรรณกรรม
ยังไม่ได้ตรวจสอบผลการดำเนินงานดังกล่าวมาจากการกระทำ
ตลาดสำหรับสารอินทรีย์เพราะมีแทนที่จะเน้น ๆ
ปัญหาด้านอุปทานและด้านอุปสงค์ (ธ อมป์สัน 1998).
ด้านอุปทานและดิมิทรี Oberholtzer (2009) พบว่า
ที่ fanners อินทรีย์บางครั้งการต่อสู้เพื่อให้อุปทาน
เพียงพอที่จะให้ทันกับการเติบโตอย่างรวดเร็วในความต้องการ
และ ciu รายงาน (2008) ว่าเกษตรกรบางคนได้พยายามที่จะ
ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตที่จำเป็นในการตลาดเป็น
อินทรีย์ ในที่สุด tondel และป่า (2006) พบว่าอินทรีย์
อุปทานจะกลายเป็นแข่งขันมากขึ้นและมีประสิทธิภาพการลดราคา
ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

วิจัยพื้น
ผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ที่ขายปลีกปกติ
ร้าน
ปัจจุบัน ในสหรัฐอเมริกาที่ผู้บริโภคซื้อมากอินทรีย์
ผลิตภัณฑ์ในซูเปอร์มาร์เก็ตดั้งเดิมกว่าใน
(TABS 2012) ร้านอื่น ในเวลาเดียวกัน ซูเปอร์มาร์เก็ตดั้งเดิม
มากขึ้นส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ผ่านต่าง ๆ
โปรแกรมการตลาดในร้านค้า (เพิ่มต่าง ๆ เช่น
แสดง) เพราะอินทรีย์มีขอบสูงรวม —
30% ถึง 50% เมื่อเทียบกับ 20% ถึง 25% สำหรับสินค้าปกติ
(Oberholtzer กรีน และโลเปซ 2006 Roheim และ D'Silva
2009) — ส่งเสริมพวกเขาควรเพิ่มประเภทรวม
ผลกำไร และจัดเก็บรายได้ อย่างไรก็ตาม เอกสารประกอบการศึกษา
ยังไม่ได้ตรวจสอบผลกระทบดังกล่าวประสิทธิภาพของตลาด
การดำเนินการสำหรับอินทรีย์เนื่องจากมันได้เน้นแทนอื่น ๆ
ปัญหา supply-side และ ด้านอุปสงค์ (1998 ทอมป์สัน) .
ด้านอุปทาน Dimitri และ Oberholtzer (2009) ค้นหา
ว่า อินทรีย์ fanners บางครั้งต่อสู้เพื่อให้เพียงพอ
อุปทานเพื่อให้ทันกับการเติบโตอย่างรวดเร็วในความต้องการ,
และ Ciu (2008) รายงานที่เกษตรกรบางส่วนได้ต่อสู้เพื่อ
รับจำเป็นรับรองตลาดผลิตเป็น
อินทรีย์ สุดท้าย Tondel และป่า (2006) หาที่อินทรีย์
แข่งขันมากขึ้น และมี ประสิทธิภาพ ลดลงของอุปทานเป็น
ราคาตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การวิจัยพื้นหลัง
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยสินค้าอาหารที่ร้านอาหารทั่วไปค้าปลีก

ในปัจจุบัน ผู้บริโภค ในสหรัฐอเมริกาที่ซื้อสินค้าอินทรีย์
ในซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบดั้งเดิมมากกว่าในร้านอาหารอื่นๆ
(แท็บ 2012 ) ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่แบบดั้งเดิมซุปเปอร์มาร์เก็ต
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ประกอบด้วยโปรแกรมทางการตลาด
ซึ่งจะช่วยในการจัดเก็บต่างๆ(เช่นความหลากหลายเพิ่มขึ้น
แสดง)เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะต่างได้เพิ่มสูงขึ้นส่วนต่างกำไรขั้นต้น -
30% ถึง 50% เมื่อเทียบกับ 20% ถึง 25% สำหรับสินค้าทั่วไป
( oberholtzer ,สีเขียว,และโลเปซ 2006 ; roheim และ D 'ซิลวา
2009 ) - การส่งเสริมจะเพิ่มจำนวน ประเภท
กำไรและจัดเก็บรายได้. แต่ถึงอย่างไรก็ตามเอกสารทางวิชาการ
ซึ่งจะช่วยได้แต่ในการตรวจสอบผลการทำงานเช่นการตลาด
การดำเนินการของอาหารอินทรีย์เพราะมันมีความสำคัญแต่ในอีกด้านหนึ่ง
ปัญหาเกี่ยวกับพาวเวอร์ซัพพลาย - ทางฝั่งด้านหนึ่งและความต้องการด้านข้าง(ธอมป์สัน 1998 )..
ด้านอุปทานที่ dimitri และ oberholtzer ( 2009 )พบ
fanners อินทรีย์ซึ่งบางครั้งการต่อสู้ในการจัดให้บริการอย่างเพียงพอ
ซึ่งจะช่วยพาวเวอร์ซัพพลายเพื่อช่วยให้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในความต้องการ
และ ciu ( 2008 )รายงานว่ามีเกษตรกรบางรายได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อ
ขอรับการรับรองที่จำเป็นสำหรับการตลาดผลิตเป็น
ซึ่งจะช่วยประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย. สุดท้าย tondel และป่า( 2006 )พบว่าประกอบรัฐธรรมนูญ
ตามมาตรฐานพาวเวอร์ซัพพลายจะกลายเป็นความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นและมี ประสิทธิภาพ มากขึ้นลด
ราคาตลอดทั่วทั้งพื้นที่ห่วงโซ่อุปทาน