2 The Origin of the Two TheoriesThe

2 The Origin of the Two Theories
The nature of the bainite transformation has been a subject of controversy ever since the bainitic microstructure
was identified by Davenport and Bain in 1930 [15]. Figure 3 is a reproduction of the ‘dark-etched,
acicular microstructure’ they observed. It was suggested that such a phase transformation “would occur just
a little in advance of the carbide precipitation”, via a process akin to that of the martensite transformation.
The theory of a displacive mechanism of bainite formation had been proposed in 1926 by Hultgren [23] to
explain observations of what he described as “needles of troostite” (but which was characteristic of a bainitic
microstructure, troostite being the name then given to all fine mixtures of ferrite and cementite). First
referred to as ‘martensite-troostite’ in the 1930 paper due to morphological similarities to martensite (see
Figure 1.1 in [9]), bainite has maintained an association with the martensitic microstructure. Some have

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

2 มาของทฤษฎีสองลักษณะของการแปลงไนท์ได้รับหัวข้อของการถกเถียงตั้งแต่ต่อโครงสร้างจุลภาค bainiticได้ระบุไว้ โดยดาเวนพอร์ทและเบนได้ใน 1930 [15] รูปที่ 3 เป็นการทำซ้ำของการ ' ดำแกะสลักต่อโครงสร้างจุลภาค acicular' พวกเขาสังเกต เขาแนะนำให้ แปลงเป็นระยะเช่น "จะเกิดขึ้นเพียงได้น้อยล่วงหน้าฝนคาร์ไบด์" ผ่านทางกระบวนการเหมือนกับที่แปลง martensiteทฤษฎีของระบบ displacive ของไนท์ผู้แต่งได้นำเสนอใน 1926 โดย Hultgren [23] การอธิบายสังเกตของสิ่งที่เขาอธิบายว่า "เข็มของ troostite" (ซึ่งเป็นลักษณะของการ bainiticต่อโครงสร้างจุลภาค troostite เป็นชื่อที่ให้ส่วนผสมที่ดีทั้งหมดของ ferrite และ cementite) ครั้งแรกเรียกว่า 'martensite-troostite' ในกระดาษ 1930 เนื่องจากความคล้ายคลึงของการ martensite (ดูรูปที่ 1.1 ใน [9]), ไนท์ได้รักษาความสัมพันธ์ที่ มีต่อโครงสร้างจุลภาค martensitic บางอย่างได้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

2 ที่มาของสองทฤษฎี
ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงเบไนท์ได้รับเรื่องของความขัดแย้งนับตั้งแต่จุลภาค bainitic
ถูกระบุโดยดาเวนพอร์ตและเบนในปี 1930 [15] รูปที่ 3 คือคุณภาพของ 'เข้มสลัก,
จุลภาคเข็ม 'พวกเขาสังเกตเห็น มันก็บอกว่าเช่นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง "ที่จะเกิดขึ้นเพียง
เล็ก ๆ น้อย ๆ ในอนาคตของฝนคาร์ไบด์ "ผ่านกระบวนการที่คล้ายกับที่ของการเปลี่ยนแปลง martensite.
ทฤษฎีของกลไกของการสร้าง displacive เบไนท์ได้รับการเสนอชื่อในปี 1926 โดย Hultgren [ 23] เพื่อ
อธิบายการสังเกตของสิ่งที่เขาอธิบายว่า "เข็ม troostite" (แต่ที่เป็นลักษณะของ bainitic
จุลภาค troostite เป็นชื่อที่ได้รับการผสมแล้วปรับทั้งหมดของเฟอร์ไรต์และซีเมน) ครั้งแรกที่
เรียกว่า 'martensite-troostite ในกระดาษ 1930 เนื่องจากความคล้ายคลึงกันทางสัณฐานวิทยาที่จะ martensite (ดู
รูปที่ 1.1 ใน [9]), เบไนท์ยังคงมีความสัมพันธ์กับจุลภาค martensitic บางคนมี

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

2 จุดเริ่มต้นของทั้งสองทฤษฎี
ธรรมชาติของไนท์แปลงได้รับเรื่องของความขัดแย้งตั้งแต่
โครงสร้างจุลภาค bainitic ระบุ ดาเวนพอร์ตและที่อาบแดดใน 1930 [ 15 ] รูปที่ 3 คือการสืบพันธุ์ของมืด ' โครงสร้าง ' เข็มฝัง ,
) พบว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียง
" เฟสเล็ก ๆน้อย ๆล่วงหน้าของคาร์ไบด์ฝน " ผ่านกระบวนการคล้ายกับที่ของมาร์เทนไซต์การแปลง .
ทฤษฎีกลไกของการเกิด displacive ไนท์เคยเสนอในปี 1926 โดย hultgren [ 23 ]

อธิบายการสังเกตสิ่งที่เขาอธิบายว่า " เข็ม " ( แต่ troostite ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโครงสร้างจุลภาค bainitic
,troostite เป็นชื่อ แล้วให้ผสมได้ทั้งหมดของเฟอร์ไรท์และซีเมนไตต์ ) แรก
เรียกว่า ' มาร์เทนไซต์ troostite ' ในปี 1930 ของกระดาษเนื่องจากความคล้ายคลึงกันของมาร์เทนไซต์ ( เห็น
รูปที่ 1.1 ใน [ 9 ] ) , ไนท์ยังคงร่วมกับโครงสร้างมาร์เทนซิติก . บางมี