The uprising was undoubtedly driven

The uprising was undoubtedly driven by the actions of the university students, but the role of other forces in favour of them should also be mentioned. These include intra-armed forces rivalry, especially between the army and the navy, and a series of wildcat strikes by common labourers and civilian workers in August and September 1973, both of which helped to create an atmosphere that was conducive to a change in the ruling government.[16]
While the uprising did not change the role of the king, it did emphasise his position as a final arbiter between opposing forces. King Bhumibol appointed Judge Sanya Dharmasakti as prime minister and formed a committee to draft the constitution. In December 1973 the king also appointed a 2,346-member National General Assembly that elected a new 299-member National Legislative Assembly to replace the old one. More importantly, the king has remained a key reference point for the Thai people since then.[17]
The role of the Communist Party of Thailand (CPT) within the student movement is unusual as it had no visible influence on the events on October 1973. The CPT also failed to incorporate the students into their struggle for a number of reasons. First, the nature of the students prevented their recruitment. The majority of university students were from middle class or lower-middle-class backgrounds and enrolled in university to obtain jobs in the bureaucracy.[18] Further to this, Gawin Chutima, an ex-communist, argues that students were firmly locked into the Sakdina ideology and were subordinate and obedient to older and socially superior person.[19] In addition, the CPT pursed a Maoist line, which called for the revolution to take place in rural areas first. The CPT did not consider students to be appropriate elements to the vanguard of revolution. They saw the students as weak-minded and undisciplined, a view which they did not change even after the crackdown in October 1976.[20] Nevertheless, after the events of October 1973, the CPT began recruiting in the universities by publishing books and writing articles on campus. This was most evident in an article on the NSCT newspaper which called for armed struggle as the only way to change society for the better.[21]
The toppling of the regime by the student movement ushered in a period (1973–1976) in Thai politics termed “democratic”. However, in hindsight the period was not democratic in most senses of the word. The strong resurgence of the right-wing and the military in late 1974 began a program of politically motivated assassinations of prominent peasants, farmers and student leaders. Ironically, after the end of the Thanom regime, the political repression that forced radical students to toe the NSCT line also dissipated. This led to the breakup of the student movement into disparate parts.[22]

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การจลาจลถูกผลักดันโดยไม่ต้องสงสัยการกระทำของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่บทบาทของกองกำลังอื่น ๆ ในความโปรดปรานของพวกเขาควรที่จะกล่าว เหล่านี้รวมถึงภายในกองกำลังติดอาวุธการแข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกองทัพและกองทัพเรือและชุดของแมวตายโดยแรงงานทั่วไปและแรงงานพลเรือนในเดือนสิงหาคมและกันยายน 1973,ซึ่งทั้งสองก็จะช่วยกันสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงในพรรคร่วมรัฐบาล. [16] ในขณะที่การจลาจล
ไม่ได้เปลี่ยนบทบาทของพระมหากษัตริย์ก็ไม่เน้นตำแหน่งของเขาเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายระหว่างกองกำลังของฝ่ายตรงข้าม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลได้รับการแต่งตั้งผู้พิพากษาซาน​​ย่าธรรมศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งคณะกรรมการในการร่างรัฐธรรมนูญ ในธันวาคม 1973 พระมหากษัตริย์ยังได้รับการแต่งตั้ง 2346 สมาชิกสมัชชาแห่งชาติทั่วไปที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ 299 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่จะมาแทนที่คนเก่า ที่สำคัญกว่ากษัตริย์ยังคงเป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญสำหรับคนไทยตั้งแต่นั้นมา. [17]
บทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (CPT) ภายในขบวนการนักศึกษาเป็นเรื่องผิดปกติในขณะที่มันไม่ได้มีอิทธิพลต่อการมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตุลาคม 1973CPT ก็ล้มเหลวที่จะนำนักเรียนเข้าสู่การต่อสู้ของพวกเขาสำหรับจำนวนของเหตุผล แรกธรรมชาติของนักเรียนการป้องกันการรับสมัครของพวกเขา ส่วนใหญ่ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมาจากชนชั้นกลางหรือภูมิหลังที่ต่ำกว่าชนชั้นกลางและเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่จะได้รับงานในระบบราชการ. [18] ต่อไปนี้ gawin ชุติมาอดีตคอมมิวนิสต์ระบุว่านักเรียนถูกขังแน่นอุดมการณ์ sakdina และมีผู้ใต้บังคับบัญชาและเชื่อฟังผู้สูงอายุและดีกว่าสังคม. [19] นอกจากนี้ CPT pursed สายเมารีซึ่งเรียกว่าการปฏิวัติจะเกิดขึ้นในพื้นที่ชนบทเป็นครั้งแรก CPT ไม่คิดว่านักเรียนที่จะเป็นองค์ประกอบที่เหมาะสมกับแนวหน้าของการปฏิวัติพวกเขาเห็นนักเรียนเป็นอ่อนแอใจกว้างและวินัยมุมมองที่พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้หลังจากการปราบปรามในตุลาคม 1976. [20] แต่หลังจากเหตุการณ์ตุลาคม 1973, CPT เริ่มการสรรหาในมหาวิทยาลัยโดยสำนักพิมพ์หนังสือและการเขียน บทความในมหาวิทยาลัยนี้ก็เห็นได้ชัดมากที่สุดในบทความหนังสือพิมพ์ nsct ซึ่งเรียกร้องให้มีการต่อสู้เป็นวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น. [21]
โค่นล้มระบอบการปกครองโดยขบวนการนักศึกษา ushered ในงวด (1973-1976) ใน การเมืองไทยเรียกว่า "ประชาธิปไตย" แต่ในระยะเวลาย้อนหลังไม่ได้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในความรู้สึกของคำว่าการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของปีกขวาและการทหารในช่วงปลายปี 1974 เริ่มโปรแกรมการลอบสังหารทางการเมืองที่โดดเด่นของชาวนาเกษตรกรและผู้นำนักศึกษา กระทบกระเทียบหลังจากการสิ้นสุดของระบอบถนอม, การปราบปรามทางการเมืองที่บังคับให้นักเรียนหัวรุนแรงจรดเท้าสาย nsct เหือดหายไปยัง นี้นำไปสู่​​การล่มสลายของขบวนการนักศึกษาเป็นส่วนที่แตกต่างกัน. [22]

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ที่สู้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยขับ โดยการกระทำของนักศึกษามหาวิทยาลัย แต่ยังควรจะกล่าวถึงบทบาทของกองทัพอื่น ๆ ลงไป รวมถึงกองกำลังติดอาวุธระหว่างแข่งขัน ระหว่างกองทัพบก และกองทัพเรือ และชุดของไวลด์แค็ทนัดหยุดงานโดยพลเรือนคนงานและกรรมกรทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนสิงหาคมและ 1973 กันยายน ซึ่งทั้งสองช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลปกครอง[16]
ขณะเทียบไม่ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทของพระมหากษัตริย์ มันไม่ได้ย้ำความทำนองระหว่างกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ภูมิพลกษัตริย์แต่งตั้งผู้พิพากษาย่า Dharmasakti เป็นนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้น ในเดือน 1973 ธันวาคม กษัตริย์ยังห้อง 2346-สมาชิกทั่วไปสภาที่เลือกแบบใหม่ 299 สมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อแทนเดิม ที่สำคัญ พระมหากษัตริย์ได้ยังคง จุดอ้างอิงที่สำคัญสำหรับคนไทยตั้งแต่นั้น[17]
บทบาทของคอมมิวนิสต์ฝ่ายไทย (CPT) ภายในขบวนการนักศึกษาเป็นปกติก็มีอิทธิพลไม่เห็นเหตุการณ์ 1973 ตุลาคม CPT ยังล้มเหลวในการรวมนักเรียนในการต่อสู้ของพวกเขาสำหรับจำนวนของเหตุผล ครั้งแรก ธรรมชาติของนักเรียนไม่ให้คน ส่วนใหญ่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยได้จากชั้นกลางหรือพื้นชั้นล่างกลาง และลงทะเบียนในมหาวิทยาลัยจะได้รับงานในระบบราชการที่[18] Further อยู่กับชุติมานี้ Gawin เป็นอดีตคอมมิวนิสต์ จนนักเรียนถูกล็อกอย่างแน่นหนาในอุดมการณ์ Sakdina และถูกย่อย และเชื่อฟังคนเก่า และสังคมเหนือกว่า[19] นอกจากนี้ CPT ที่ pursed บรรทัด Maoist ซึ่งเรียกว่าการปฏิวัติจะเกิดขึ้นในชนบทครั้งแรก CPT ได้พิจารณานักเรียนเป็น องค์ประกอบที่เหมาะสมกับทัพหน้าของการปฏิวัติ พวกเขาเห็นนักเรียนไม่มี วินัย และ weak-minded เป็นมุมมองที่พวกเขาไม่เปลี่ยนแม้หลังจากการปราบปรามในเดือน 1976 ตุลาคม[20] แต่ หลังจากเหตุการณ์ในเดือน 1973 ตุลาคม CPT เริ่มสรรหาบุคลากรในมหาวิทยาลัยในการเผยแพร่หนังสือ และเขียนบทความในมหาวิทยาลัย นี้ไม่ชัดในบทความในหนังสือพิมพ์ NSCT ซึ่งเรียกว่าการต่อสู้อาวุธเป็นวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดี[21]
Toppling ของระบบการปกครอง โดยการเคลื่อนไหวนักเรียน ushered ในระยะ (1973–1976) ในเมืองไทยเรียกว่า "ประชาธิปไตย" อย่างไรก็ตาม ใน hindsight ระยะไม่ใช่ประชาธิปไตยในความรู้สึกส่วนใหญ่ของคำ รีเซอร์เจนซ์แข็งแรงของปีกขวาและกองทัพทั้งสายเริ่มโปรแกรมของ assassinations แรงจูงใจทางการเมืองของชาวนาที่โดดเด่น เกษตรกร และผู้นำนักศึกษา แดกดัน หลังจากการสิ้นสุดของระบอบถนอม ปราบปรามทางการเมืองที่บังคับนักเรียนรุนแรงเท้าบรรทัด NSCT ยัง dissipated นี้นำไปสู่การแบ่งของขบวนการนักศึกษาเป็นส่วนที่แตกต่างกัน[22]

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การก่อกบฏที่ถูกขับโดยการดำเนินการของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดจึงเป็นแต่หน้าที่ของกองกำลังอื่นๆอยู่ในความนิยมของเขาควรได้รับนอกจากนั้นยังได้กล่าวถึง เหล่านี้รวมถึงการแข่งขันระหว่างกัน ภายใน กองทัพโดยเฉพาะระหว่างกองทัพและกองทัพเรือและชุดของประท้วงโดยแรงงานทั่วไปและคนงานพลเรือนในเดือนสิงหาคมและกันยายน 1973 :ซึ่งทั้งสองได้ช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลพรรค.[ 16 ]
ในขณะที่การจลาจลที่ไม่ได้เปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของกษัตริย์ก็เน้นตำแหน่งของเขาในฐานะผู้ตัดสินสุดท้ายระหว่างกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ได้รับการตกแต่งพระปรมินทรมหา ภูมิ พลผู้พิพากษาให้กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรีและจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อร่างรัฐธรรมนูญจะได้ ในเดือนธันวาคมปีค.ศ. 1973 กษัตริย์ที่ยังมีการตกแต่งเป็นอย่างดี 2National ทั่วไปชุด 346 - สมาชิกที่ได้รับเลือกตั้ง สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ 299 - สมาชิกใหม่เพื่อแทนที่เดิม ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผลิตภัณฑ์ กษัตริย์มีอยู่จุดอ้างอิงสำคัญสำหรับคนไทยที่มานับตั้งแต่นั้น.[ 17 ]
บทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(เคาะปอดแยกพิเศษพร้อมอุปกรณ์ในการเคลื่อนไหวนักศึกษาที่เป็นเรื่องปกติได้เพราะไม่มีอิทธิพลกับเหตุการณ์ที่สามารถมองเห็นได้ในเดือนตุลาคม 1973 :เคาะปอดแยกพิเศษพร้อมอุปกรณ์ที่ยังไม่สามารถรวมนักศึกษาที่เข้าไปในการต่อสู้ของพวกเขาเป็นจำนวนมากของเหตุผล ธรรมชาติครั้งแรกของนักเรียนไม่สามารถสรรหาของพวกเขา โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมาจากฉากหลังระดับกลางหรือต่ำกว่า - กลาง - class และลงทะเบียนในมหาวิทยาลัยเพื่อขอรับงานในระบบราชการ.[ 18 ]ที่มากยิ่งไปกว่านี้ gawin ชุติมาอดีตคอมมิวนิสต์ที่ได้ให้เหตุผลว่านักศึกษาคนถูกล็อคอยู่ในอุดมการณ์ sakdina ให้แน่นและมีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและเชื่อฟังคำสั่งไปให้กับบุคคลใดบุคคลรุ่นเก่าและสังคมระดับ Superior First Class .[ 19 ]ในการเคาะปอดแยกพิเศษพร้อมอุปกรณ์ที่จีบปากจีบคอสายลัทธิเหมาซึ่งเรียกว่าเป็นการปฏิวัติที่จะดำเนินการในพื้นที่ในชนบทเป็นครั้งแรก เคาะปอดแยกพิเศษพร้อมอุปกรณ์ที่ไม่ได้พิจารณาถึงนักเรียนให้เป็นองค์ประกอบที่เหมาะสมกับกองหน้าของการปฏิวัติที่เห็นนักเรียนเป็นสติปัญญาอ่อนและวิวทิวทัศน์ที่ไม่มีวินัยที่พวกเขาไม่เปลี่ยนแม้จะปราบปรามอย่างรุนแรงหลังจากที่ในเดือนตุลาคม 1976 .[ 20 ]อย่างไรก็ตามหลังการจัดงานในเดือนตุลาคม 1973 :เคาะปอดแยกพิเศษพร้อมอุปกรณ์ที่เริ่มรับสมัครคนงานในมหาวิทยาลัยด้วยการเผยแพร่หนังสือและเขียนบทความในมหาวิทยาลัยโรงแรมแห่งนี้เป็นที่สุดที่เห็นได้ชัดมากขึ้นในข้อที่ nsct หนังสือพิมพ์ที่เรียกว่าสำหรับอาวุธการต่อสู้ที่เฉพาะทางในการเปลี่ยนสังคมให้ได้ดีขึ้น[ 21 ]
ที่ล้มลงของระบอบการปกครองโดยให้นักศึกษานำการเคลื่อนไหวในช่วงเวลา( 1973 - 1976 )ในประเทศไทยการเมืองเรียกว่า"ประชาธิปไตย". แต่ถึงอย่างไรก็ตามในเมื่อมาย้อนคิดดูช่วงเวลาที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในความรู้สึกของคำว่าการระบาดครั้งใหม่ซึ่งปีกขวาและทหารในช่วงปลาย 1974 เริ่มโปรแกรมของเครื่องมือสร้างแรงจูงใจทางการเมืองของชาวนาอย่างชัดเจนเกษตรกรและผู้นำนักศึกษา ในทางกลับกันหลังจากที่สิ้นสุดการปกครองประเทศที่การปราบปรามการทางการเมืองที่ทำให้นักเรียนความรุนแรงในปลายเท้า nsct ที่เหือดหายไปยัง โรงแรมแห่งนี้นำไปสู่แตกแยกสูงของขบวนการนักศึกษาที่เข้าสู่ส่วนพื้นที่กัน.[ 22 ]