ผู้หญิงกับความสวยงาม และเสน่ห์ยั่วย

ผู้หญิงกับความสวยงาม และเสน่ห์ยั่วยวนใจ ดูจะเป็นสิ่งที่ควบคู่กันอยู่แล้ว และถ้าผู้หญิงคนไหน รู้จักใช้เสน่ห์ทางเพศของตัวเอง เป็นบันไดเบิกทางไปสู่ความสำเร็จ วิธีนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ อีกประเด็นหนึ่งเลยทีเดียว

หลายคนมักจะพูดกันว่า เวลาผู้หญิงมีอำนาจนั้นร้ายกว่าผู้ชายหลายเท่านัก ยิ่งเป็นอำนาจที่ได้มาด้วยมารยาด้วยแล้วล่ะก็ ไม่ว่ายุคสมัยไหน ก็มักจะกลายเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อกันไม่รู้จบเลยทีเดียว

เหมือนดังเช่นผู้หญิงคนนี้นะคะ ที่ได้ชื่อว่า ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนเลยก็ว่าได้... พระนางซูสีไทเฮา ...ที่คนจีนรู้จักนางในนาม ไทเฮาฝ่ายตะวันตก และมีพระนามที่แต่งตั้งว่า เสี้ยวชินเซียฮองเฮา...ด้วยว่าจากผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ใช้เสน่ห์ผนวกกับความสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจและอยู่เบื้องหลังราชสำนักจีนในสมัยราชวงศ์ชิง ทั้งยังกลายเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังฮ่องเต้หุ่นเชิดถึง 3 พระองค์ด้วยกัน คือ ฮ่องเต้ถงจื้อ ฮ่องเต้กวงสู และฮ่องเต้ซวนถงหรือปูยี ที่เรามักจะคุ้นในนาม จักรพรรดิองค์สุดท้ายนั่นเอง

ซูสีไทเฮา มีชื่อเดิมตามที่ครอบครัวของนางตั้งว่า เยโฮนาลา (Yehanala) เกิดเมื่อวันที่ 29 เดือนพฤศจิกายน ปี 1835 ในครอบครัวชาวแมนจู ที่บิดาของนางเป็นหัวหน้าทหารที่คอยคุ้มกันเขตพระราชวังต้องห้าม (The Forbidden City)

ประวัติชีวิตช่วงต้นของซูสีไทเฮา ออกจะอึมครึมนะคะ ด้วยว่าน้อยคนนักที่จะค้นหาเรื่องราวแต่อดีตของนางได้ บ้างก็ว่า เมื่อครั้งแรกรุ่น นางเกิดความรักกับนายทหารหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหัวหน้ากองทหารรักษาการณ์ถึงขั้นวางแผนจะแต่งงานใช้ชิวิตอยู่ร่วมกัน

แต่แล้วด้วยพรหมลิขิตอย่างไรไม่แน่ชัด ที่ทำให้นางตัดสินใจใช้ความสวยงามของตัวเอง ยั่วยวนใจให้ฮ่องเต้เสียนเฟิง (Hsien Feng) ตกหลุมเสน่ห์ของนาง กระทั่งทำให้นางได้มีโอกาสถวายตัวเป็นหนึ่งในสนมของฮ่องเต้ด้วยวัยเพียง 16 ปี และได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังต้องห้าม....

ซูสีไทเฮาหรือ เยโฮนาลา ในเวลานั้น เมื่อได้มีโอกาสถวายตัวให้ฮ่องเต้ ก็ให้กำเนิดโอรสขึ้นมาองค์หนึ่ง จากนั้นนางก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากสนมชั้นที่สามขึ้นมาเป็นสนมอันดับหนึ่งหรือกุ้ยเฟย แต่หลังจากนั้นไม่นานฮ่องเต้ก็หันไปสนใจสนมคนอื่น นามว่า Li Fei ที่มีข้อมูลบางกระแสบันทึกไว้ว่า เมื่อซูสีไทเฮาได้ขึ้นเป็นใหญ่ สนมนางนี้ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ โดยไม่มีใครทราบสาเหตุ...

ฮ่องเต้เสียนเฟิง สวรรคตด้วยวัยที่ไม่มากนัก เพียง 30 ปีเท่านั้น และด้วยมเหสีคนแรกของพระองค์ไม่มีโอรส ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสทองของ เยโฮนาลา ที่ได้ถวายโอรสของตัวเองขึ้นไปจักรพรรดิคนต่อมา...ในขณะที่โอรสของนางมีอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้นและในครั้งนั้นเองที่นางได้เปลี่ยนชื่อจากเยโฮนาลา มาเป็น ซูสี...

ซูสีไทเฮาและฉืออันไทเฮา มเหสีในจักรพรรดิเสียนเฟิง ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการทั้งสองคนแทนจักรพรรดิองค์น้อยนาม ถงจื้อ ภายใต้หลังม่านไม้ไผ่จึงปรากฏร่างเงาของไทเฮาทั้งสองคน...เมื่อใดที่จักรพรรดิออกว่าราชการ ซูสีไทเฮาจะเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งเรื่องใด หรือการตัดสินความใด ล้วนมาจากความคิดของซูสีไทเฮา ที่ถูกพูดผ่านปากของจักรพรรดิถงจื้อ เท่านั้น....

ซูสีไทเฮา เคยเอ่ยปากว่านางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดกว่าหญิงใด และนางก็มีผู้คนในปกครองมากมายหลายล้านคน... เมืองจีน ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลความคิดของทั้งซูสีไทเฮาและฉืออันไทเฮา จนกระทั่งปี 1873 ซึ่งเป็นปีที่จักรพรรดิถงจื้อ สามารถว่าราชการได้ด้วยพระองค์เอง แต่แล้ว ด้วยความเสเพลของจักรพรรดิหนุ่มผู้นี้ ทำให้เขาต้องจบชีวิตลงในวัยหนุ่ม

อำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวนนะคะ เมื่ออยู่ในมือใครแล้ว ก็ยากจะยอมถอนหรือสละให้กับคนอื่น ซูสีไทเฮาก็เช่นเดียวกันค่ะ นางฝ่าฝืนกฎการสืบสันตติวงศ์ ด้วยการนำหลานชายอายุ 3 ขวบให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป เพื่อที่นางและฉืออันไทเฮา ยังคงเป็นผู้สำเร็จราชการต่อไป แต่ฉืออันไทเฮาก็สิ้นวาสนาลงในปี 1881 ปล่อยให้ซูสีไทเฮาเถลิงอำนาจเต็มรูปแบบแต่เพียงผู้เดียว....

ซูสีไทเฮานับเป็นผู้นำหญิงชาตินิยมคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของนางก็คือ การปฏิเสธอำนาจและต่อต้านชาวต่างชาติ ที่พยายามเข้ามาปฏิรูปในประเทศจีน ด้วยแนวคิดอนุรักษ์นิยมนี้เอง ทำให้นางซื้อใจกองกำลังทหารที่มีความคิดอนุรักษ์นิยมเช่นเดียวกับนางได้สำเร็จ

คุณประโยชน์ที่น่าจดจำของซูสีไทเฮาก็คือเรื่อง ศิลปวัฒนธรรม ที่นางเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูงิ้ว ถึงขนาดในพระราชวังของนางมีโรงงิ้วที่ดี และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบัน รวมทั้งในสมัยของซูสีไทเฮา นางยังได้ก่อตั้งสวนสัตว์วิทยาปักกิ่งในปี 1906 ซึ่งต่อมาสวนสัตว์วิทยาแห่งนี้ กลายเป็นสถาบันแรกที่ได้ทำการขยายพันธุ์หมีแพนด้าสำเร็จ

จักรพรรดิองค์สุดท้ายหรือปูยีที่เกือบจะเป็นหุ่นเชิดของซูสีไทเฮา ขึ้นครองราชย์ได้เพียงไม่กี่วัน ซูสีไทเฮาก็ถึงแก่พิราลัย หลังจากที่นางได้วางแผนให้จักรพรรดิองค์ก่อนหน้านี้สวรรคต

ซูสีไทเฮา ผู้หญิงที่โลกไม่ลืม นางมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีอยู่ในตัว หลายคนจดจำนางในด้านความโหดร้ายที่เกณท์แรงงานทาสให้ขุดสระน้ำในพระราชวังของนาง ทั้งยังสั่งให้สร้างเรือหินอ่อนขนาดเท่าของจริง เพื่อประดับในสระน้ำของนาง...ต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงเกร็ดเล็กๆน้อยๆ ที่มีไว้เล่ายามที่นักท่องเที่ยวเดินไปไปเยือนปักกิ่ง

แต่อีกด้านหนึ่งที่นางเป็นที่กล่าวขาน ก็คือ นางเป็นผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศจีน

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ผู้หญิงกับความสวยงามและเสน่ห์ยั่วยวนใจดูจะเป็นสิ่งที่ควบคู่กันอยู่แล้วและถ้าผู้หญิงคนไหนรู้จักใช้เสน่ห์ทางเพศของตัวเองเป็นบันไดเบิกทางไปสู่ความสำเร็จวิธีนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งเลยทีเดียวหลายคนมักจะพูดกันว่าเวลาผู้หญิงมีอำนาจนั้นร้ายกว่าผู้ชายหลายเท่านักยิ่งเป็นอำนาจที่ได้มาด้วยมารยาด้วยแล้วล่ะก็ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็มักจะกลายเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อกันไม่รู้จบเลยทีเดียวเหมือนดังเช่นผู้หญิงคนนี้นะคะที่ได้ชื่อว่าทรงอิทธิพลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนเลยก็ว่าได้... พระนางซูสีไทเฮา... ที่คนจีนรู้จักนางในนามไทเฮาฝ่ายตะวันตกและมีพระนามที่แต่งตั้งว่าเสี้ยวชินเซียฮองเฮา... ด้วยว่าจากผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ใช้เสน่ห์ผนวกกับความสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจและอยู่เบื้องหลังราชสำนักจีนในสมัยราชวงศ์ชิงทั้งยังกลายเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังฮ่องเต้หุ่นเชิดถึง 3 พระองค์ด้วยกันคือฮ่องเต้ถงจื้อฮ่องเต้กวงสูและฮ่องเต้ซวนถงหรือปูยีที่เรามักจะคุ้นในนามจักรพรรดิองค์สุดท้ายนั่นเองซูสีไทเฮามีชื่อเดิมตามที่ครอบครัวของนางตั้งว่าเยโฮนาลา (Yehanala) เกิดเมื่อวันที่ 29 เดือนพฤศจิกายนปีปีค.ศ. 1835 ในครอบครัวชาวแมนจูที่บิดาของนางเป็นหัวหน้าทหารที่คอยคุ้มกันเขตพระราชวังต้องห้าม (ในเมือง)ประวัติชีวิตช่วงต้นของซูสีไทเฮาออกจะอึมครึมนะคะด้วยว่าน้อยคนนักที่จะค้นหาเรื่องราวแต่อดีตของนางได้บ้างก็ว่าเมื่อครั้งแรกรุ่นนางเกิดความรักกับนายทหารหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้ากองทหารรักษาการณ์ถึงขั้นวางแผนจะแต่งงานใช้ชิวิตอยู่ร่วมกันแต่แล้วด้วยพรหมลิขิตอย่างไรไม่แน่ชัดที่ทำให้นางตัดสินใจใช้ความสวยงามของตัวเองยั่วยวนใจให้ฮ่องเต้เสียนเฟิง (Hsien Feng) ตกหลุมเสน่ห์ของนางกระทั่งทำให้นางได้มีโอกาสถวายตัวเป็นหนึ่งในสนมของฮ่องเต้ด้วยวัยเพียง 16 ปีและได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังต้องห้าม...ซูสีไทเฮาหรือเยโฮนาลาในเวลานั้นเมื่อได้มีโอกาสถวายตัวให้ฮ่องเต้ก็ให้กำเนิดโอรสขึ้นมาองค์หนึ่งจากนั้นนางก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากสนมชั้นที่สามขึ้นมาเป็นสนมอันดับหนึ่งหรือกุ้ยเฟยแต่หลังจากนั้นไม่นานฮ่องเต้ก็หันไปสนใจสนมคนอื่นนามว่าลี่เฟยที่มีข้อมูลบางกระแสบันทึกไว้ว่าเมื่อซูสีไทเฮาได้ขึ้นเป็นใหญ่สนมนางนี้ก็หายตัวไปอย่างลึกลับโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ...ฮ่องเต้เสียนเฟิงสวรรคตด้วยวัยที่ไม่มากนักเพียง 30 ปีเท่านั้นและด้วยมเหสีคนแรกของพระองค์ไม่มีโอรสดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสทองของเยโฮนาลาที่ได้ถวายโอรสของตัวเองขึ้นไปจักรพรรดิคนต่อมา... ในขณะที่โอรสของนางมีอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้นและในครั้งนั้นเองที่นางได้เปลี่ยนชื่อจากเยโฮนาลามาเป็นซูสี...ซูสีไทเฮาและฉืออันไทเฮามเหสีในจักรพรรดิเสียนเฟิงขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการทั้งสองคนแทนจักรพรรดิองค์น้อยนามถงจื้อภายใต้หลังม่านไม้ไผ่จึงปรากฏร่างเงาของไทเฮาทั้งสองคน... เมื่อใดที่จักรพรรดิออกว่าราชการซูสีไทเฮาจะเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังไม่ว่าจะเป็นคำสั่งเรื่องใดหรือการตัดสินความใดล้วนมาจากความคิดของซูสีไทเฮาที่ถูกพูดผ่านปากของจักรพรรดิถงจื้อเท่านั้น...ซูสีไทเฮาเคยเอ่ยปากว่านางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดกว่าหญิงใดและนางก็มีผู้คนในปกครองมากมายหลายล้านคน... เมืองจีนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลความคิดของทั้งซูสีไทเฮาและฉืออันไทเฮาจนกระทั่งปี 1873 ซึ่งเป็นปีที่จักรพรรดิถงจื้อสามารถว่าราชการได้ด้วยพระองค์เองแต่แล้วด้วยความเสเพลของจักรพรรดิหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาต้องจบชีวิตลงในวัยหนุ่มอำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวนนะคะเมื่ออยู่ในมือใครแล้วก็ยากจะยอมถอนหรือสละให้กับคนอื่นซูสีไทเฮาก็เช่นเดียวกันค่ะนางฝ่าฝืนกฎการสืบสันตติวงศ์ด้วยการนำหลานชายอายุ 3 ขวบให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปเพื่อที่นางและฉืออันไทเฮายังคงเป็นผู้สำเร็จราชการต่อไปแต่ฉืออันไทเฮาก็สิ้นวาสนาลงในปี 1881 ปล่อยให้ซูสีไทเฮาเถลิงอำนาจเต็มรูปแบบแต่เพียงผู้เดียว...ซูสีไทเฮานับเป็นผู้นำหญิงชาตินิยมคนหนึ่งเลยทีเดียวเพราะหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของนางก็คือการปฏิเสธอำนาจและต่อต้านชาวต่างชาติที่พยายามเข้ามาปฏิรูปในประเทศจีนด้วยแนวคิดอนุรักษ์นิยมนี้เองทำให้นางซื้อใจกองกำลังทหารที่มีความคิดอนุรักษ์นิยมเช่นเดียวกับนางได้สำเร็จคุณประโยชน์ที่น่าจดจำของซูสีไทเฮาก็คือเรื่องศิลปวัฒนธรรมที่นางเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูงิ้วถึงขนาดในพระราชวังของนางมีโรงงิ้วที่ดีและกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันรวมทั้งในสมัยของซูสีไทเฮานางยังได้ก่อตั้งสวนสัตว์วิทยาปักกิ่งในปี 1906 ซึ่งต่อมาสวนสัตว์วิทยาแห่งนี้กลายเป็นสถาบันแรกที่ได้ทำการขยายพันธุ์หมีแพนด้าสำเร็จจักรพรรดิองค์สุดท้ายหรือปูยีที่เกือบจะเป็นหุ่นเชิดของซูสีไทเฮาขึ้นครองราชย์ได้เพียงไม่กี่วันซูสีไทเฮาก็ถึงแก่พิราลัยหลังจากที่นางได้วางแผนให้จักรพรรดิองค์ก่อนหน้านี้สวรรคตซูสีไทเฮาผู้หญิงที่โลกไม่ลืมนางมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีอยู่ในตัวหลายคนจดจำนางในด้านความโหดร้ายที่เกณท์แรงงานทาสให้ขุดสระน้ำในพระราชวังของนางทั้งยังสั่งให้สร้างเรือหินอ่อนขนาดเท่าของจริงเพื่อประดับในสระน้ำของนาง... ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงเกร็ดเล็กๆน้อย ๆ ที่มีไว้เล่ายามที่นักท่องเที่ยวเดินไปไปเยือนปักกิ่งแต่อีกด้านหนึ่งที่นางเป็นที่กล่าวขานก็คือนางเป็นผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศจีน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ผู้หญิงกับความสวยงามและเสน่ห์ยั่วยวนใจดูจะเป็นสิ่งที่ควบคู่กันอยู่แล้วและถ้าผู้หญิงคนไหนรู้จักใช้เสน่ห์ทางเพศของตัวเองเป็นบันไดเบิกทางไปสู่ความสำเร็จวิธีนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
หลายคนมักจะพูดกันว่าเวลาผู้หญิงมีอำนาจนั้นร้ายกว่าผู้ชายหลายเท่านักยิ่งเป็นอำนาจที่ได้มาด้วยมารยาด้วยแล้วล่ะก็ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็มักจะกลายเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อกันไม่รู้จบเลยทีเดียว

เหมือนดังเช่นผู้หญิงคนนี้นะคะที่ได้ชื่อว่าทรงอิทธิพลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนเลยก็ว่าได้ . . . . . . . พระนางซูสีไทเฮาที่คนจีนรู้จักนางในนามไทเฮาฝ่ายตะวันตกและมีพระนามที่แต่งตั้งว่าเสี้ยวชินเซียฮองเฮา . . . . . . . . . . . . . .ด้วยว่าจากผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งที่ใช้เสน่ห์ผนวกกับความสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจและอยู่เบื้องหลังราชสำนักจีนในสมัยราชวงศ์ชิงทั้งยังกลายเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังฮ่องเต้หุ่นเชิดถึง 3ความฮ่องเต้ถงจื้อฮ่องเต้กวงสูและฮ่องเต้ซวนถงหรือปูยีที่เรามักจะคุ้นในนามจักรพรรดิองค์สุดท้ายนั่นเอง

ซูสีไทเฮามีชื่อเดิมตามที่ครอบครัวของนางตั้งว่าเยโฮนาลา ( yehanala ) เกิดเมื่อวันที่ 29 เดือนพฤศจิกายน . 1835 ในครอบครัวชาวแมนจูที่บิดาของนางเป็นหัวหน้าทหารที่คอยคุ้มกันเขตพระราชวังต้องห้าม ( วังต้องห้าม )

ประวัติชีวิตช่วงต้นของซูสีไทเฮาออกจะอึมครึมนะคะด้วยว่าน้อยคนนักที่จะค้นหาเรื่องราวแต่อดีตของนางได้บ้างก็ว่าเมื่อครั้งแรกรุ่นนางเกิดความรักกับนายทหารหนุ่มคนหนึ่ง
แต่แล้วด้วยพรหมลิขิตอย่างไรไม่แน่ชัดที่ทำให้นางตัดสินใจใช้ความสวยงามของตัวเองยั่วยวนใจให้ฮ่องเต้เสียนเฟิง ( เซียนฟง ) ตกหลุมเสน่ห์ของนาง