ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟภาพงานบุญบั้งไฟ   ประเพณ การแปล - ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟภาพงานบุญบั้งไฟ   ประเพณ ไทย วิธีการพูด

ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาข

ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ
ภาพงานบุญบั้งไฟ


ประเพณีบุญบั้งไฟ

ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ

ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ ช่วงเวลาของประเพณีบุญบั้งไฟคือเดือนหกหรือพฤษภาคมของทุกปี- wikipedia

ประเพณีบุญบั้งไฟมีมาแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานที่แน่ชัด มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟในแง่ต่างๆ ไว้ดังนี้

ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ


ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์


งานแห่บั้งไฟ ประเพณีบุญบั้งไฟ
ความหมายของบั้งไฟ

คำว่า “บั้งไฟ” ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า “บ้องไฟ” แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า”บั้งไฟ”ดังที่ เจริญชัย ดงไพโรจน์ ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่า บั้งหมายถึง สิ่งที่เป็นกระบอก เช่น บั้งทิง สำหรับใส่น้ำดื่ม หรือบั้งข้าวหลาม เป็นต้น

การเอาหมื่อใส่กระบอกบั้งไฟ

ส่วนคำว่า บ้อง หมายถึง สิ่งของใดๆ ก็ได้ที่มี 2 ชิ้น มาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ ส่วนนอกเรียกว่า บ้อง ส่วนในหรือสิ่งที่เอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เช่น บ้องมีด บ้องขวาน บ้องเสียม บ้องวัว บ้องควาย ดังนั้น คำว่า บั้งไฟ ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่า บั้งไฟ ซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง มีหางยาวเอาดินประสิวมาคั่วกับถ่านไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียดเรียกว่า หมื่อ (ดินปืน) และเอาหมื่อนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ตำให้แน่นเจาะรูตอนท้ายของบั้งไฟ เอาไผ่ท่อนอื่นมัดติดกับกระบอกให้ใส่หมื่อโดยรอบ เอาไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งมามัดประกบต่อออกไปเป็นหางยาว สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกัน เรียกว่า “บั้งไฟ” ในทัศนะของผู้วิจัย บั้งไฟ คือการนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก ท่อเอสลอน หรือเลาไม้อย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุหมื่อ (ดินปืน) ตามอัตราส่วนที่ช่างกำหนดไว้แล้วประกอบท่อนหัวและท่อนหางเป็นรูปต่างๆ ตามที่ต้องการ เพื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศ จะมีควันและเสียงดัง บั้งไฟมีหลายประเภท ตามจุดมุ่งหมายของประโยชน์ในการใช้สอย
ประเพณีบุญบั้งไฟ

ในทางศาสนาพุทธกับประเพณีบุญบั้งไฟ

มีการฉลองและบูชาในวันวิสาขบูชากลางเดือนหก มีการทำดอกไม้ไฟในแบบต่างๆ ทั้งไฟน้ำมัน ไฟธูปเทียนและดินประสิว มีการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา


บั้งไฟขนาดเล็ก
ประเพณีบุญบั้งไฟ

ส่วนประกอบของบั้งไฟ


1. เลาบั้งไฟ เลาบั้งไฟคือส่วนประกิบที่ทำหน้าที่บรรจุดินปืน มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาว มีความยาวประมาณ 1.5 - 7 เมตร ทำด้วยลำไม้ไผ่เล้วใช้ร้วไม้ไผ่ (ตอก) ปิดเป็นเกลียวเชือกพันรอบเลาบั้งไฟอีกครั้งหนึ่งให้แน่น และใช้ดินปืนที่ชาวบ้านเรียกว่า"หมือ" อัดให้แน่นลงไปในเลาบั้งไฟ ด้วยวิธีใช้สากตำแล้วเจาะรูสายชนวน เสร็จแล้วนำเลาบั้งไฟ ไปมัดเข้ากับส่วนหางบั้งไฟ ในสมัดต่อมานิยมนำวัสดุอื่นมาใช้เป็นเลาบั้งไฟแทนไม้ไผ่ ได้แก่ ท่อเหล็ก ท่อพลาสติก เป็นต้น เรียกว่าเลาเหล็กซึ่งสามารถอัดดินปืนได้แน่นและมีประสิทธิภาพในการยิงได้สูงกว่า


2. หางบั้งไฟ หางบั้งไฟถือเป็นส่วนสำคัญทำหน้าที่คล้ายหางเสือ ของเรือคือสร้างความสมดุลย์ให้กับบั้งไฟคอยบังคับทิศทางบั้งไฟให้ยิงขึ้นไปในทิศทางตรงและสูง บั้งไฟแบบเดิมนั้น ทำจากไม้ไผ่ทั้งลำ ต่อมาพัฒนาเป็นหางท่อนเหล็กและหางท่อนไม้ไผ่ติดกันหางท่อนเหล็กมีลักษณะเป็นท่อนกลม ทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตร ทำหน้าท่เป็นคานงัดยกลำตัวบั้งไฟชูโด่งชี้เอียงไปข้างหน้าทำมุมประมาณ 30-40 องศากับพื้นดิน โดยบั้งไฟจะยื่นไปข้างหน้ายาวประมาณ 7-8 เมตร ปลายหางด้านหนึ่งตั้งอยู่บนฐานที่ตั้งบั้งไฟ

3. ลูกบั้งไฟ เป็นลำไม้ไผ่ที่นำมาประกอบเลาบั้งไฟโดยมัดรอบลำบั้งไฟ บั้งไฟลำหนึ่งจะประกอบด้วยลูกบั้งไฟประมาณ 8-15 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟ เดิมลูกบั้งไฟมีแปดลูกมีชื่อเรียกเรียงตามลำดับคู่ขนาดใหญ่ไปหาคู่ที่มีขนาดเล็กกว่าได้แก่ ลูกโอ้ ลูกกลาง ลูกนางและลูกก้อย ลูกบั้งไฟช่วยให้รูปทรงของบั้งไฟกลมเรียวสวยงาม นอกจากนี้ลูกบั้งไฟยังเป็นพื้นผิวรองรับการเอ้หรือการตกแต่งลวดลายปะติดกระดาษ


ประเพณีบุญบั้งไฟ

ประเพณีบุญบั้งไฟ


ลายบั้งไฟ : ใช้ลายศิลปไทย คือ ลายกนก อันเป็นลายพื้นฐานในการลับลายบั้งไฟ โดยช่างจะนิยมใช้กระดาษดังโกทองด้านเป็นพื้นและสีเม็ดมะขามเป็นตัวสับลาย เพื่อให้ลายเด่นชัดในการตกแต่งเพื่อให้ความสวยงาม

ตัวบั้งไฟ : มีลูกโอ้จะใช้ลายประจำยาม ลายหน้าเทพพนม ลายหน้ากาล ลูกเอ้ใช้ลายประจำยาม ก้ามปูเปลว และลายหน้ากระดาน ฯลฯ

กรวยเชิง : เป็นลวดลายไทยที่เขียนอยู่เชิงยาบที่ประดับพริ้วลงมาจากช่วงตัวบั้งไฟ

ยาบ : เป็นผ้าประดับใต้เลาบั้งไฟ จะสับลายใดขึ้นอยู่กับช่างบั้งไฟนั้น เช่น ลายก้านขูดลายก้าน
ดอกใบเทศ

ตัวพระนาง : เป็นรูปลักษณ์สื่อถึงผาแดงนางไอ่ หรือตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ พระลักษณ์ พระราม เป็นต้น

กระรอกเผือก : ท้าวพังคี แปลงร่างมาเพื่อให้นางไอ่หลงใหล

ปล้องคาด : ลายรักร้อย ลายลูกพัดใบเทศ ลายลูกพัดขอสร้อย เป็นต้น

เกริน : เป็นส่วนที่ยื่นออกสองข้างของบุษบก เป็นรูปรอนเบ็ดลายกนก สำหรับตั้งฉ
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ประเพณีบุญบั้งไฟประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟภาพงานบุญบั้งไฟ ประเพณีบุญบั้งไฟประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาวโดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคากเรื่องผาแดงนางไอ่ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึงการที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชาพระยาแถนหรือเทพวัสสกาลเทพบุตรซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าพระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาลและมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมากหากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชาฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาลอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ช่วงเวลาของประเพณีบุญบั้งไฟคือเดือนหกหรือพฤษภาคมของทุกปี-วิกิพีเดีย ประเพณีบุญบั้งไฟมีมาแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานที่แน่ชัดมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟในแง่ต่าง ๆ ไว้ดังนี้ ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์โลกเทวดาและโลกเทวดามนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดาการรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดาและเรียกเทวดาว่า "แถน" เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่าฝนฟ้าลมเป็นอิทธิพลของแถนหากทำให้แถนโปรดปรานมนุษย์ก็จะมีความสุขดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถนการจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถนชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถนและมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไปแต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอนนอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือเรื่องพญาคันคากหรือคางคกพญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์ งานแห่บั้งไฟประเพณีบุญบั้งไฟ ความหมายของบั้งไฟ คำว่า "บั้งไฟ" ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า "บ้องไฟ" แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า "บั้งไฟ" ดังที่เจริญชัยดงไพโรจน์ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่าบั้งหมายถึงสิ่งที่เป็นกระบอกเช่นบั้งทิงสำหรับใส่น้ำดื่มหรือบั้งข้าวหลามเป็นต้น การเอาหมื่อใส่กระบอกบั้งไฟ ส่วนคำว่า บ้อง หมายถึง สิ่งของใดๆ ก็ได้ที่มี 2 ชิ้น มาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ ส่วนนอกเรียกว่า บ้อง ส่วนในหรือสิ่งที่เอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เช่น บ้องมีด บ้องขวาน บ้องเสียม บ้องวัว บ้องควาย ดังนั้น คำว่า บั้งไฟ ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่า บั้งไฟ ซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง มีหางยาวเอาดินประสิวมาคั่วกับถ่านไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียดเรียกว่า หมื่อ (ดินปืน) และเอาหมื่อนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ตำให้แน่นเจาะรูตอนท้ายของบั้งไฟ เอาไผ่ท่อนอื่นมัดติดกับกระบอกให้ใส่หมื่อโดยรอบ เอาไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งมามัดประกบต่อออกไปเป็นหางยาว สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกัน เรียกว่า “บั้งไฟ” ในทัศนะของผู้วิจัย บั้งไฟ คือการนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก ท่อเอสลอน หรือเลาไม้อย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุหมื่อ (ดินปืน) ตามอัตราส่วนที่ช่างกำหนดไว้แล้วประกอบท่อนหัวและท่อนหางเป็นรูปต่างๆ ตามที่ต้องการ เพื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศ จะมีควันและเสียงดัง บั้งไฟมีหลายประเภท ตามจุดมุ่งหมายของประโยชน์ในการใช้สอยประเพณีบุญบั้งไฟในทางศาสนาพุทธกับประเพณีบุญบั้งไฟ มีการฉลองและบูชาในวันวิสาขบูชากลางเดือนหกมีการทำดอกไม้ไฟในแบบต่าง ๆ ทั้งไฟน้ำมันไฟธูปเทียนและดินประสิวมีการทำทานรักษาศีลเจริญภาวนา บั้งไฟขนาดเล็กประเพณีบุญบั้งไฟส่วนประกอบของบั้งไฟ 1. เลาบั้งไฟเลาบั้งไฟคือส่วนประกิบที่ทำหน้าที่บรรจุดินปืนมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาวมีความยาวประมาณ 1.5-7 เมตร (ตอก) ทำด้วยลำไม้ไผ่เล้วใช้ร้วไม้ไผ่ปิดเป็นเกลียวเชือกพันรอบเลาบั้งไฟอีกครั้งหนึ่งให้แน่นและใช้ดินปืนที่ชาวบ้านเรียกว่า "หมือ" อัดให้แน่นลงไปในเลาบั้งไฟด้วยวิธีใช้สากตำแล้วเจาะรูสายชนวนเสร็จแล้วนำเลาบั้งไฟไปมัดเข้ากับส่วนหางบั้งไฟในสมัดต่อมานิยมนำวัสดุอื่นมาใช้เป็นเลาบั้งไฟแทนไม้ไผ่ได้แก่ท่อเหล็กท่อพลาสติกเป็นต้นเรียกว่าเลาเหล็กซึ่งสามารถอัดดินปืนได้แน่นและมีประสิทธิภาพในการยิงได้สูงกว่า 2. หางบั้งไฟหางบั้งไฟถือเป็นส่วนสำคัญทำหน้าที่คล้ายหางเสือของเรือคือสร้างความสมดุลย์ให้กับบั้งไฟคอยบังคับทิศทางบั้งไฟให้ยิงขึ้นไปในทิศทางตรงและสูงบั้งไฟแบบเดิมนั้นทำจากไม้ไผ่ทั้งลำต่อมาพัฒนาเป็นหางท่อนเหล็กและหางท่อนไม้ไผ่ติดกันหางท่อนเหล็กมีลักษณะเป็นท่อนกลมทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตรทำหน้าท่เป็นคานงัดยกลำตัวบั้งไฟชูโด่งชี้เอียงไปข้างหน้าทำมุมประมาณ 30-40 องศากับพื้นดินโดยบั้งไฟจะยื่นไปข้างหน้ายาวประมาณ 7-8 เมตรปลายหางด้านหนึ่งตั้งอยู่บนฐานที่ตั้งบั้งไฟ 3. ลูกบั้งไฟเป็นลำไม้ไผ่ที่นำมาประกอบเลาบั้งไฟโดยมัดรอบลำบั้งไฟบั้งไฟลำหนึ่งจะประกอบด้วยลูกบั้งไฟประมาณ 8-15 ลูกขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟเดิมลูกบั้งไฟมีแปดลูกมีชื่อเรียกเรียงตามลำดับคู่ขนาดใหญ่ไปหาคู่ที่มีขนาดเล็กกว่าได้แก่ลูกโอ้ลูกกลางลูกนางและลูกก้อยลูกบั้งไฟช่วยให้รูปทรงของบั้งไฟกลมเรียวสวยงามนอกจากนี้ลูกบั้งไฟยังเป็นพื้นผิวรองรับการเอ้หรือการตกแต่งลวดลายปะติดกระดาษ ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีบุญบั้งไฟ ลายบั้งไฟ: ใช้ลายศิลปไทยคือลายกนกอันเป็นลายพื้นฐานในการลับลายบั้งไฟโดยช่างจะนิยมใช้กระดาษดังโกทองด้านเป็นพื้นและสีเม็ดมะขามเป็นตัวสับลายเพื่อให้ลายเด่นชัดในการตกแต่งเพื่อให้ความสวยงาม ตัวบั้งไฟ: มีลูกโอ้จะใช้ลายประจำยามลายหน้าเทพพนมลายหน้ากาลลูกเอ้ใช้ลายประจำยามก้ามปูเปลวและลายหน้ากระดานฯลฯ กรวยเชิง: เป็นลวดลายไทยที่เขียนอยู่เชิงยาบที่ประดับพริ้วลงมาจากช่วงตัวบั้งไฟ ยาบ: เป็นผ้าประดับใต้เลาบั้งไฟจะสับลายใดขึ้นอยู่กับช่างบั้งไฟนั้นเช่นลายก้านขูดลายก้านดอกใบเทศ ตัวพระนาง: เป็นรูปลักษณ์สื่อถึงผาแดงนางไอ่หรือตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์พระลักษณ์พระรามเป็นต้น กระรอกเผือก: ท้าวพังคีแปลงร่างมาเพื่อให้นางไอ่หลงใหล ปล้องคาด: ลายรักร้อยลายลูกพัดใบเทศลายลูกพัดขอสร้อยเป็นต้น เกริน: เป็นส่วนที่ยื่นออกสองข้างของบุษบกเป็นรูปรอนเบ็ดลายกนกสำหรับตั้งฉ
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ประเพณีบุญบั้งไฟ เรื่องผาแดงนางไอ่ พระยาแถนหรือเทพวัสสกาลเทพบุตรซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่า และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล โลกเทวดาและโลกเทวดามนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา และเรียกเทวดาว่า "แถน" เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่าฝนฟ้าลมเป็นอิทธิพลของแถนหากทำให้แถนโปรดปรานมนุษย์ก็จะมีความสุขดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน เรื่องพญาคันคากหรือคางคก "บั้งไฟ" ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า "บ้องไฟ" เจริญชัยดงไพโรจน์ บั้งหมายถึงสิ่งที่เป็นกระบอกเช่นบั้งทิงสำหรับใส่น้ำดื่มหรือบั้งข้าวหลาม บ้องหมายถึงสิ่งของใด ๆ ก็ได้ที่มี 2 ชิ้นมาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ส่วนนอกเรียกว่าบ้อง เช่นบ้องมีดบ้องขวานบ้องเสียมบ้องวัวบ้องควายดังนั้นคำว่าบั้งไฟในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่าบั้งไฟซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง หมื่อ (ดินปืน) สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกันเรียกว่า "บั้งไฟ" ในทัศนะของผู้วิจัยบั้งไฟคือการนำเอากระบอกไม้ไผ่เลาเหล็กท่อเอสลอน (ดินปืน) ตามที่ต้องการเพื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศจะมีควันและเสียงดังบั้งไฟมีหลายประเภท มีการทำดอกไม้ไฟในแบบต่างๆทั้งไฟน้ำมันไฟธูปเทียนและดินประสิวมีการทำทานรักษาศีล เลาบั้งไฟ มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาวมีความยาวประมาณ 1.5-7 เมตรทำด้วยลำไม้ไผ่เล้วใช้ร้วไม้ไผ่ (ตอก) อัดให้แน่นลงไปในเลาบั้งไฟด้วยวิธีใช้สากตำแล้วเจาะรูสายชนวนเสร็จแล้วนำเลาบั้งไฟไปมัดเข้ากับส่วนหางบั้งไฟ ได้แก่ ท่อเหล็กท่อพลาสติกเป็นต้น หางบั้งไฟ บั้งไฟแบบเดิมนั้นทำจากไม้ไผ่ทั้งลำ ทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตร 30-40 องศากับพื้นดิน 7-8 เมตร ลูกบั้งไฟ 8-15 ลูกขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟ ลูกโอ้ลูกกลางลูกนางและลูกก้อย : ใช้ลายศิลปไทยคือลายกนก : มีลูกโอ้จะใช้ลายประจำยามลายเทพพนมลายหน้ากาลหน้าลูกเอ้ใช้ลายประจำยามก้ามปูเปลวและลายหน้ากระดาน ฯลฯกรวยเชิง: : เป็นผ้าประดับใต้เลาบั้งไฟ เช่น : เป็นรูปลักษณ์สื่อถึงผาแดงนางไอ่หรือตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์พระลักษณ์พระรามเป็นต้นกระรอกเผือก: ท้าวพังคี : ลายรักร้อยลูกพัดลายใบเทศลายลูกพัดขอสร้อยเป็นต้นเกริน: เป็นส่วนที่ยื่นออกสองข้างของบุษบกเป็นรูปรอนเบ็ดลายกนกสำหรับตั้งฉ


































































การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ประเพณีบุญบั้งไฟภาพงานบุญบั้งไฟประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ







ประเพณีบุญบั้งไฟประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟประเพณีบุญบั้งไฟเป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาวโดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคากเรื่องผาแดงนางไอ่ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึงพระยาแถนหรือเทพวัสสกาลเทพบุตรซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าพระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาลและมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมากหากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชาอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ช่วงเวลาของประเพณีบุญบั้งไฟคือเดือนหกหรือพฤษภาคมของทุกปี
- วิกิพีเดีย
ประเพณีบุญบั้งไฟมีมาแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานที่แน่ชัดมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟในแง่ต่างๆไว้ดังนี้




ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์โลกเทวดาและโลกเทวดามนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดาการรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดาและเรียกเทวดาว่า " แถน " เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่าฝนฟ้าลมหากทำให้แถนโปรดปรานมนุษย์ก็จะมีความสุขดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถนการจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถนชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถนแต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอนนอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือเรื่องพญาคันคากหรือคางคกพญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์





งานแห่บั้งไฟประเพณีบุญบั้งไฟความหมายของบั้งไฟคำว่า " บั้งไฟ " ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า " บ้องไฟ " แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า " บั้งไฟ " ดังที่เจริญชัยดงไพโรจน์ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่าบั้งหมายถึงสิ่งที่เป็นกระบอกเช่นบั้งทิงหรือบั้งข้าวหลามเป็นต้น



การเอาหมื่อใส่กระบอกบั้งไฟส่วนคำว่าบ้องหมายถึงสิ่งของใดๆก็ได้ที่มี 2 ชิ้นมาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ส่วนนอกเรียกว่าบ้องส่วนในหรือสิ่งที่เอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้เช่นบ้องมีดบ้องขวานบ้องเสียมบ้องวัวบ้องควายดังนั้นคำว่าในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่าบั้งไฟซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่งมีหางยาวเอาดินประสิวมาคั่วกับถ่านไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียดเรียกว่าหมื่อ ( ดินปืน )
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: