The underlying basis of the theory

The underlying basis of the theory is that the relative costs of using markets as opposed to employing firm-controlled resources drive resource allocation decisions. In particular, it argues that firms realize efficiencies, typically related to cost, when there is congruence between a firm’s governance structure and attributes of the underlying transactions ( Williamson, 1975). Williamson (1981) further argued that, since uncertainty and opportunistic behavior are key determinants of transaction costs, transaction cost economics theory suggests that firms aim to avoid uncertainty. However, a reduction in exchange uncertainty is attractive only to the extent that it reduces transaction costs ( Cannon et al., 2008). Thus, firms tend to vertically integrate to avoid uncertainty and reduce costs, so as to safeguard transaction specific investments, and to adapt to environmental uncertainty associated with transactions ( Rindfleisch and Heide, 1997; Heide and John, 1988). The implication is that, the performance of firms that practice a wider arc of integration (i.e. firms that integrate with 3PLs) should be

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

พื้นฐานพื้นฐานของทฤษฎีคือ ว่า ต้นทุนสัมพัทธ์ของใช้ตลาดเมื่อเทียบกับจ้างบริษัทควบคุมทรัพยากรขับตัดสินใจจัดสรรทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันแย้งว่า บริษัทตระหนักถึงประสิทธิภาพ โดยทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน เมื่อมีการลงตัวระหว่างโครงสร้างของบริษัทและคุณลักษณะของธุรกรรมพื้นฐาน (วิลเลียมสัน 1975) วิลเลียมสัน (1981) การโต้เถียงว่า เนื่องจากความไม่แน่นอนและโอกาสในการทำงานเป็นคีย์ดีเทอร์มิแนนต์ของธุรกรรมต้นทุน เศรษฐศาสตร์ทฤษฎีต้นทุนธุรกรรมแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีจุดมุ่งหมายเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ลดแลกเปลี่ยนความไม่แน่นอนได้น่าสนใจเท่านั้นที่จะช่วยลดต้นทุนธุรกรรม (แคนนอน et al. 2008) ดังนั้น บริษัทมักจะ รวมในแนวตั้งเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน และลดต้นทุน เพื่อปกป้องเงินลงทุนเฉพาะธุรกรรม และ เพื่อปรับให้เข้ากับความไม่แน่นอนด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม (Rindfleisch และ Heide, 1997 Heide และจอห์น 1988) ความหมายคือ ประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทที่ปฏิบัติการรวม (เช่นบริษัทที่รวมกับ 3PLs) โค้งกว้างควรมี

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

พื้นฐานพื้นฐานของทฤษฎีนี้ก็คือค​​่าใช้จ่ายที่ญาติของการใช้ตลาดเมื่อเทียบกับการจ้าง บริษัท ทรัพยากรควบคุมผลักดันการตัดสินใจการจัดสรรทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันระบุว่า บริษัท ตระหนักถึงประสิทธิภาพโดยทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการเสียค่าใช้จ่ายเมื่อมีความสอดคล้องกันระหว่างโครงสร้างการกำกับดูแลของ บริษัท และคุณลักษณะของการทำธุรกรรมพื้นฐาน (วิลเลียมสัน, 1975) วิลเลียมสัน (1981) เป็นที่ถกเถียงกันต่อไปว่าเนื่องจากความไม่แน่นอนและพฤติกรรมฉวยโอกาสเป็นปัจจัยสำคัญของต้นทุนการทำธุรกรรมทฤษฎีการทำธุรกรรมค่าใช้จ่ายเศรษฐศาสตร์แสดงให้เห็นว่า บริษัท มุ่งมั่นที่จะหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตามการลดความไม่แน่นอนในการแลกเปลี่ยนเป็นที่น่าสนใจเพียงเท่าที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม (แคนนอน et al., 2008) ดังนั้น บริษัท มีแนวโน้มที่จะบูรณาการในแนวตั้งเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนและลดค่าใช้จ่ายเพื่อปกป้องการลงทุนโดยเฉพาะการทำธุรกรรมและปรับให้เข้ากับความไม่แน่นอนของสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม (Rindfleisch และ Heide, 1997; Heide และจอห์น, 1988) ความหมายก็คือว่าผลการดำเนินงานของ บริษัท ที่ว่าการปฏิบัติโค้งกว้างของบูรณาการ (IE บริษัท ที่ทำงานร่วมกับ 3PLs) ควรจะเป็น

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ต้นแบบพื้นฐานของทฤษฎีคือต้นทุนสัมพัทธ์ของการใช้ตลาดเป็นนอกคอกใช้ควบคุมไดรฟ์ในการจัดสรรทรัพยากร ทรัพยากร บริษัท ในการตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันแย้งว่า บริษัทตระหนักถึงประสิทธิภาพโดยทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายเมื่อมีความสอดคล้องกันระหว่างบริษัทกับโครงสร้างและคุณลักษณะต้นแบบของธุรกรรม ( วิลเลียมสัน , 1975 ) วิลเลียมสัน ( 1981 ) เพิ่มเติม เสนอว่า เนื่องจากความไม่แน่นอนและพฤติกรรมฉวยโอกาสเป็นปัจจัยสําคัญของรายการค่าใช้จ่าย ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ต้นทุนธุรกรรม ชี้ให้เห็นว่า บริษัท มีจุดมุ่งหมายเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การลดความไม่แน่นอนตรามีเสน่ห์เพียงเท่าที่มันช่วยลดต้นทุนธุรกรรม ( ปืนใหญ่ et al . , 2008 ) ดังนั้น บริษัท มักจะแนวตั้งรวมเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน และลดต้นทุน เพื่อปกป้องธุรกรรมการลงทุนที่เฉพาะเจาะจงและเพื่อปรับให้เข้ากับความไม่แน่นอนของสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม ( และ rindfleisch Heide Heide , 1997 ; และจอห์น , 1988 ) ความหมาย คือ ผลประกอบการของบริษัทที่กว้างขึ้นของการฝึกอาร์ค ( เช่น บริษัท ที่บูรณาการกับ 3pls ) ควรเป็น