Bodoni is the name given to the ser

Bodoni is the name given to the serif typefaces first designed by Giambattista Bodoni (1740–1813) in the late eighteenth century and frequently revived since.[1] Bodoni's typefaces are classified as Didone or modern. Bodoni followed the ideas of John Baskerville, as found in the printing type Baskerville: increased stroke contrast reflecting developing printing technology and a more vertical axis, but took them to a more extreme conclusion. Bodoni had a long career and his designs evolved and varied, ending with a typeface of a slightly condensed underlying structure with flat, unbracketed serifs, extreme contrast between thick and thin strokes, and an overall geometric construction.[2]

When first released, Bodoni, and other didone fonts, were called classical designs because of their rational structure. However, these fonts were not updated versions of Roman or Renaissance letter styles, but new designs. They came to be called 'modern' serif fonts and then from to mid 20th century they were known as Didone designs.[3] Though Bodoni's later designs are rightfully called "modern", the earlier designs are "transitional".

Some digital versions of Bodoni are said to be hard to read due to "dazzle" caused by the alternating thick and thin strokes, particularly as the thin strokes are very thin at small point sizes. This is very common when optical sizes of font intended for use at display sizes are printed at text size, at which point the hairline strokes can recede to being hard to see. Versions of Bodoni that are intended to be used at text size are "Bodoni Old Face", optimized for 9 points; ITC Bodoni 12 (for 12 points); and ITC Bodoni 6 (for 6 points).

Massimo Vignelli stated that 'Bodoni is one of the most elegant typefaces ever designed.'[4] In the English-speaking world, 'modern' serif designs like Bodoni are most commonly used in headings and display uses and in upmarket magazine printing, which is often done on high-gloss paper that retains and sets off the crisp detail of the fine strokes. In Europe, they are more often used in body text.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Bodoni เป็นชื่อให้กับอักษร serif ที่ออกแบบ โดย Giambattista Bodoni (ปีค.ศ. 1740-1813) ครั้งแรก ในปลายศตวรรษที่สิบแปด และฟื้นฟูบ่อยตั้งแต่ [1] อักษร Bodoni เป็นจัดเป็น Didone หรือทันสมัย Bodoni ตามความคิดของ John Baskerville เป็นชนิดพิมพ์ Baskerville: จังหวะเพิ่มความเปรียบต่างสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์และแกนตั้งขึ้น แต่ถ่ายภาพสรุปเพิ่มเติมมากขึ้น Bodoni มีอาชีพนานและเขาออกแบบพัฒนา และแตกต่าง กัน ลงท้าย ด้วยแบบพิมพ์ของโครงสร้างพื้นฐานเล็กน้อยประกอบกับไม่มี serif แบน unbracketed ความคมชัดมากหนา และบางจังหวะ และการก่อสร้างโดยรวมเรขาคณิต [2]เมื่อออก Bodoni และอักษรอื่น ๆ didone ถูกเรียกแบบคลาสสิกเนื่องจากโครงสร้างมีเหตุผล อย่างไรก็ตาม แบบอักษรเหล่านี้ไม่ได้ปรับปรุงรุ่นของโรมันหรือเรอเนสซองซ์อักษรแบบ แต่การออกแบบใหม่ พวกเขามาเรียกว่าแบบอักษร serif 'ทันสมัย' แล้ว จากถึงกลางศตวรรษที่ 20 พวกเขาได้เรียกว่าออกแบบ Didone [3] แม้ว่า Bodoni ที่มาของ การออกแบบอย่างถูกต้องเรียกว่า "ทันสมัย" การออกแบบก่อนหน้านี้มี "ช"บาง Bodoni รุ่นดิจิตอลจะกล่าวว่า การอ่านเนื่องจาก "ไสว" เกิดจากการสลับหนา และบางจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นจังหวะบางบางที่มีขนาดจุดที่เล็กมาก นี้เป็นกันมากเมื่อแสงขนาดของแบบอักษรที่ใช้ในจอแสดงผลขนาดพิมพ์ที่ขนาดของข้อความ จุดลายเส้นสามารถทยอยถูกมาก รุ่น Bodoni ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้ที่ขนาดของข้อความเป็น "Bodoni เก่าหน้า" เหมาะสำหรับจุด 9 ทีซี Bodoni 12 (12 จุด); และ 6 Bodoni ทีซี (สำหรับ 6 จุด)Massimo Vignelli ระบุว่า 'Bodoni เป็นหนึ่งอักษรสวยสุดที่เคยได้รับการออกแบบ' [4] ในโลกภาษาอังกฤษ 'ทันสมัย' serif ออกเช่น Bodoni มักใช้ในหัวข้อ และแสดงการใช้ และยี่ห้อพิมพ์นิตยสาร ซึ่งจะมักจะทำบนกระดาษไฮกลอสที่ยังคงรักษา และชุดออกรายละเอียดคมชัดของลายเส้นดี ในทวีปยุโรป ที่พวกเขาจะใช้บ่อยในตัวข้อความ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

Bodoni เป็นชื่อที่กำหนดให้ serif ได้รับการออกแบบมาเป็นครั้งแรกโดย Giambattista Bodoni (1740-1813) ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบแปดและฟื้นขึ้นมาบ่อยครั้งตั้งแต่. [1] รูปแบบอักษร Bodoni ได้รับการจัดเป็น Didone หรือทันสมัย Bodoni ตามความคิดของจอห์น Baskerville เช่นที่พบในประเภทการพิมพ์ Baskerville: ความคมชัดเพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงจังหวะการพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์และแกนแนวตั้งมากขึ้น แต่เอาพวกเขาไปสู่ข้อสรุปที่รุนแรงมากขึ้น Bodoni มีอาชีพที่ยาวนานและการออกแบบของเขาพัฒนาและแตกต่างกันที่ลงท้ายด้วยอักษรของโครงสร้างพื้นฐานข้นเล็กน้อยกับแบน unbracketed เซอริฟคมชัดมากระหว่างจังหวะหนาและบางและการก่อสร้างทางเรขาคณิตโดยรวม. [2] เมื่อเปิดตัวครั้งแรก, Bodoni และแบบอักษร Didone อื่น ๆ ที่ถูกเรียกว่าการออกแบบที่คลาสสิกเพราะโครงสร้างที่มีเหตุผลของพวกเขา แต่แบบอักษรเหล่านี้ไม่ได้รับการปรับปรุงรุ่นของโรมันหรือรูปแบบเรอเนสซองจดหมาย แต่การออกแบบใหม่ พวกเขาก็จะเรียกว่า 'ทันสมัย ​​serif แบบอักษรและจากนั้นก็ถึงกลางศตวรรษที่ 20 พวกเขาเป็นที่รู้จักกัน Didone ออกแบบ. [3] แม้ว่าการออกแบบในภายหลัง Bodoni จะเรียกว่าถูกต้อง "สมัยใหม่" การออกแบบก่อนหน้านี้คือ "การเปลี่ยนผ่าน". บางรุ่นดิจิตอล Bodoni จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยากที่จะอ่านเพราะ "ทำให้ตาพร่า" ที่เกิดจากการสลับหนาและบางจังหวะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่บางจังหวะมีความบางมากที่มีขนาดเล็ก ๆ จุด นี้เป็นเรื่องธรรมดามากเมื่อแสงขนาดของตัวอักษรที่มีไว้สำหรับการใช้งานที่มีขนาดจอแสดงผลจะมีการพิมพ์ที่ขนาดตัวอักษรที่จุดจังหวะเส้นผมสามารถลดลงจะเป็นยากที่จะเห็น รุ่น Bodoni ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้ที่ขนาดตัวอักษรคือ "Bodoni เก่าใบหน้า" เหมาะสำหรับ 9 จุด; ITC Bodoni 12 (12 คะแนน); และ ITC Bodoni 6 (6 คะแนน). มัสซิโม Vignelli ระบุว่า 'Bodoni เป็นหนึ่งในรูปแบบอักษรที่สง่างามที่สุดที่เคยได้รับการออกแบบ. [4] ในโลกที่พูดภาษาอังกฤษ' ทันสมัยออกแบบ serif เช่น Bodoni มีการใช้กันมากที่สุดในหัวข้อ และการแสดงผลที่ใช้ในการพิมพ์และนิตยสารยี่ห้อซึ่งมักจะทำบนกระดาษมันวาวสูงที่ยังคงปิดและกำหนดรายละเอียดที่คมชัดของจังหวะที่ดี ในยุโรปพวกเขามักจะใช้ในการเพิ่มเติมข้อความของร่างกาย