During the Muromachi Period, or 15t

During the Muromachi Period, or 15th century, the nare sushi began to divide into two types, the hon nare (true ripe) and nama nare (raw ripe, or pre-ripe). The hon nare is the original version of the sushi which began its roots in the 10th century. The nama nare is the same type of sushi, but it is consumed prematurely. This way the rice stuffed inside the fish to aid the fermentation process became somewhat edible. The nama nare sushi is distinct from the hon nare in a way that it has a more pleasant sour taste. Eventually the nama nare became more popular for its quicker preparation and it’s extra side dish, the fermented rice which had a mild tangy flavor to it.

About a hundred years later, vinegar was beginning to be added to cut the preparation time even further. This way, only minimal time was required for fermentation, since vinegar was added later to artificially create the tangy taste. This was not done just to cut time and cost for hon nare or nare sushi production. It was actually more favorable to people, since nare sushi in general has a very pungent smell, and was not widely appreciated by many, even though it was (and still is) considered a delicacy. From here on, less and less fermentation was required to create nare sushi, and eventually a new type of sushi using only fresh vinegar and cooked rice began to evolve. This began a trend of new types of sushi being evolved in local areas, such as the Osaka style sushi, Oshi sushi, chirashi sushi and nuku sushi just to mention a few. All of these are still popular in Japan.

Although sashimi or slices of raw fish were consumed in Japan for centuries, it was not until between 1827 and 1829 when sushi and raw fish were first combined. This became what is known as the Edo style sushi. This is the sushi widely known to the world today. It was initially created as an inexpensive fast food to cater the busy streets of Edo, and proved to be a success from the beginning. The vinegar rice resembling the naturally fermented sushi rice helped the sashimi from spoiling too quickly, and the fast preparation made it ideal for such a business.

During the late 1970’s, Japanese businesses started expanding to the United States, and more and more sushi restaurants opened to serve the Japanese businessmen living locally. Besides catering to the local Japanese, sushi chefs in the United States tried hard to introduce sushi to Americans, but it was difficult to persuade people to try eating raw fish. Soon, the California roll was invented, and sparked a new trend towards fusion sushi. The California roll was the perfect introductory sushi for people unfamiliar to raw fish. More and more Westerners started to eat raw fish and many adaptations were made to the Edo style sushi to adapt with western culture.

The history of sushi is very long, and the interesting thing about it is that the sushi evolves through time. Without the advice and comments of Western customers, it would have been difficult for a conservative sushi chef in Japan to create all the new types of sushi that are now made today. Some things which were considered taboo in the Edo style sushi tradition actually turned out to be very good. At the present, the tradition of sushi has spread world wide, and is in the fusion style sushi, or American style sushi phase. It has been this way for almost 20 years and is starting to level off at its peak (as a culinary evolution), since there has really been no revolutionary “breakthrough’s” like the California roll. Many new rolls are seen here and there, but they are only different combinations of existing ingredients with different names given to them. Fusion or American style sushi is more of a new versatile attitude towards sushi, and once again, it has been proved to be an evolving cuisine. It will be interesting to wait and see what the next trend in sushi will be like.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ระหว่างมุโระ หรือศตวรรษที่ 15 ซูชิ nare เริ่มแบ่งเป็นสองชนิด nare ฮอน (ทรูสุก) และ nama nare (ดิบสุก หรือก่อนสุก) Hon nare เป็นฉบับของซูชิซึ่งเริ่มรากของมันในคริสต์ศตวรรษที่ 10 Nama nare เป็นซูชิชนิดเดียว แต่มีบริโภคก่อนกำหนด วิธีนี้เป็นข้าวที่ยัดภายในปลาช่วยกระบวนการหมักค่อนข้างกิน ซูชิ nare nama แตกต่างจาก nare hon ในทางที่ว่า มันมีรสเปรี้ยวมากพอ ในที่สุด nama nare กลายเป็นนิยมมากขึ้นสำหรับการเตรียมตัวเร็วกว่า และจะเสริมอาหาร ข้าวหมักซึ่งมีรสชาติแทงจี้อ่อนไปประมาณร้อยปีต่อมา น้ำส้มสายชูเริ่มที่จะเพิ่มการตัดเวลาเตรียมมาก ด้วยวิธีนี้ เวลาน้อยที่สุดเท่านั้นถูกต้องสำหรับหมัก ตั้งแต่เพิ่มน้ำส้มสายชูเทียมสร้างรสชาติแทงจี้ในภายหลัง นี่ไม่ได้ทำเพื่อลดเวลาและต้นทุน nare ฮอนหรือผลิตซูชิ nare มันก็ดีขึ้นจริง ๆ คน ตั้งแต่ nare ซูชิทั่วไปมีกลิ่นฉุนมาก และถูกไม่ชื่นชมอย่างกว้างขวาง โดยมาก แม้ว่ามันถูก (และยังคง) ถือเป็นอาหารอันโอชะ จากนี้ หมักน้อย ลงต้องสร้าง nare ซูชิ และชนิดใหม่ใช้เฉพาะน้ำส้มสดซูชิ และข้าวเริ่มที่จะพัฒนา นี้เริ่มมีแนวโน้มของชนิดใหม่ของการพัฒนาในพื้นที่ ซูชิกับซูชิสไตล์โอซาก้า Oshi ซูชิ ซูชิ chirashi และซูชินูกูแค่พูดถึงบาง ทั้งหมดเหล่านี้จะยังคงเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น แม้ว่าซาชิมิหรือปลาดิบของใช้ในญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษ ไม่เสร็จจนกระทั่งระหว่าง 1827 1829 เมื่อซูชิและปลาดิบเป็นครั้งแรกรวม ที่เรียกว่าซูชิสไตล์เอโดะขึ้น นี้เป็นซูชิที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกวันนี้ มันเริ่มสร้างเป็นอาหารราคาไม่แพงเพื่อตอบสนองความคับคั่งของเอโดะ และพิสูจน์ความสำเร็จจากจุดเริ่มต้น น้ำส้มสายชูข้าวคล้ายข้าวซูชิที่หมักตามธรรมชาติช่วยให้ซาชิมิจากเสียเร็วเกินไป และเหมาะสำหรับธุรกิจที่รวดเร็วในการจัดทำ ในช่วงปลายปี 1970 ธุรกิจญี่ปุ่นเริ่มขยายไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา และร้านซูชิมาก ขึ้นเปิดให้นักธุรกิจญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น นอกจากอาหารที่ญี่ปุ่น ซูชิเชฟในไทยพยายามอย่างหนักเพื่อแนะนำซูชิให้ชาวอเมริกัน แต่มันก็ยากที่จะชักชวนคนไปลองกินปลาดิบ เร็ว ๆ นี้ ม้วนแคลิฟอร์เนียถูกคิดค้น และจุดประกายฟิวชั่นซูชิโน้มใหม่ ม้วนแคลิฟอร์เนียถูกซูชิแนะนำเหมาะสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับปลาดิบ มากชาวตะวันตกเริ่มที่จะกินปลาดิบ และดัดแปลงหลายทำซูชิสไตล์เอโดะเพื่อปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตก ประวัติของซูชิมีความยาวมาก และสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับมันเป็นซูชิวิวัฒนาการผ่านเวลา ไม่ มีคำแนะนำและข้อคิดเห็นของลูกค้าตะวันตก มันจะได้ยากสำหรับพ่อครัวซูชิอนุรักษ์ในญี่ปุ่นการสร้างทั้งหมดใหม่ชนิดของซูชิที่ตอนนี้ทำวันนี้ สิ่งที่พิจารณาว่าต้องห้ามในประเพณีสไตล์เอโดะซูชิจริง ๆ เปิดออกมาจะดีมาก ในปัจจุบัน ประเพณีของซูชิได้แพร่กระจายทั่วโลก และในซูชิสไตล์ฟิวชั่น หรือเฟสซูชิสไตล์อเมริกัน จะได้วิธีนี้เกือบ 20 ปี และเริ่มระดับปิดที่จุดสูงสุด (เป็นวิวัฒนาการอาหาร) เพราะจริง ๆ มี ม้วนไม่ปฏิวัติ "ความก้าวหน้าของ" เช่นในแคลิฟอร์เนีย เห็นม้วนใหม่จำนวนมากไม่ แต่เฉพาะแตกต่างจากวัตถุดิบที่มีอยู่ด้วยชื่อที่แตกต่างได้ขึ้น ฟิวชั่นหรือซูชิสไตล์อเมริกันของหลากหลายทัศนคติใหม่ต่อซูชิ และอีกครั้ง มีการพิสูจน์เป็นอาหารพัฒนา มันจะน่าสนใจที่จะรอ และดูแนวโน้มต่อไปในการทำซูชิจะเป็นเช่นนั้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ระหว่างแมชประจำเดือนหรือศตวรรษที่ 15 ซูชิ Nare เริ่มที่จะแบ่งออกเป็นสองประเภทที่รัก Nare (สุกจริง) และ Nama Nare (สุกดิบหรือสุกก่อน) Nare Hon เป็นรุ่นเดิมของซูชิซึ่งเริ่มรากในศตวรรษที่ 10 Nare Nama เป็นชนิดเดียวกันของซูชิ แต่ก็มีการบริโภคก่อนเวลาอันควร วิธีนี้ข้าวยัดภายในปลาที่จะช่วยในกระบวนการหมักกลายเป็นค่อนข้างกิน ซูชิ Nama Nare แตกต่างจาก Nare รักในทางที่มันจะมีรสเปรี้ยวที่น่าพอใจมากขึ้น ในที่สุด Nare Nama กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นสำหรับการเตรียมการได้เร็วขึ้นและมันเป็นกับข้าวพิเศษข้าวหมักซึ่งมีรสเปรี้ยวอ่อนไป. ประมาณร้อยปีต่อมาน้ำส้มสายชูเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเพิ่มลดเวลาในการเตรียมความพร้อมให้ดียิ่งขึ้น วิธีนี้เท่านั้นเวลาที่น้อยที่สุดที่ถูกต้องสำหรับการหมักเนื่องจากน้ำส้มสายชูถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลังเพื่อเทียมสร้างรสชาติเปรี้ยว นี้ไม่ได้ทำเพียงเพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายสำหรับ Nare รักหรือการผลิตซูชิ Nare มันเป็นความจริงที่ดีขึ้นให้กับประชาชนตั้งแต่ซูชิ Nare ทั่วไปมีกลิ่นฉุนมากและไม่ได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวางโดยมากแม้ว่ามันจะเป็น (และยังเป็น) ถือว่าเป็นอาหารอันโอชะ จากที่นี่ที่หมักน้อยลงและน้อยที่ถูกต้องในการสร้างซูชิ Nare และในที่สุดก็เป็นชนิดใหม่ของซูชิใช้น้ำส้มสายชูเท่านั้นสดและข้าวสวยเริ่มวิวัฒนาการ นี้เริ่มมีแนวโน้มของรูปแบบใหม่ของซูชิที่ถูกพัฒนาในพื้นที่ท้องถิ่นเช่นซูชิโอซาก้าสไตล์ Oshi ซูชิซูชิ Chirashi และ Nuku ซูชิเพียงแค่พูดถึงไม่กี่ ทั้งหมดเหล่านี้ยังเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น. แม้ว่าซาซิมิหรือชิ้นของปลาดิบถูกบริโภคในประเทศญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษมันไม่ได้จนกว่าระหว่าง 1827 และ 1829 เมื่อซูชิและปลาดิบนำมารวมกันเป็นครั้งแรก เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าซูชิสไตล์เอโดะ นี่คือซูชิเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกในวันนี้ มันถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในฐานะที่เป็นอาหารจานด่วนราคาไม่แพงเพื่อตอบสนองถนนที่วุ่นวายของเอโดะและพิสูจน์ให้เห็นว่าจะประสบความสำเร็จจากจุดเริ่มต้น ข้าวน้ำส้มสายชูคล้ายข้าวซูชิหมักตามธรรมชาติช่วยซาชิมิจากการเสียเร็วเกินไปและการเตรียมการอย่างรวดเร็วทำให้มันเหมาะสำหรับธุรกิจดังกล่าว. ในช่วงปลายปี 1970 ธุรกิจญี่ปุ่นเริ่มขยายตัวไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและอื่น ๆ และอื่น ๆ ร้านอาหารซูชิเปิด ที่จะให้บริการนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศ นอกจากนี้อาหารที่ญี่ปุ่นท้องถิ่นพ่อครัวซูชิในสหรัฐอเมริกาพยายามอย่างหนักที่จะแนะนำให้ชาวอเมริกันซูชิ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะชักชวนให้คนที่จะลองกินปลาดิบ เร็ว ๆ นี้ม้วนแคลิฟอร์เนียถูกคิดค้นและจุดประกายความเป็นเทรนด์ใหม่ที่มีต่อซูชิฟิวชั่น ม้วนแคลิฟอร์เนียเป็นซูชิเบื้องต้นที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับปลาดิบ ชาวตะวันตกมากขึ้นและเริ่มที่จะกินปลาดิบและการปรับตัวหลายคนที่ทำกับซูชิสไตล์เอโดะเพื่อปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตก. ประวัติของซูชิมีความยาวมากและสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับมันว่าซูชิวิวัฒนาการผ่านช่วงเวลา โดยไม่ต้องให้คำแนะนำและความคิดเห็นของลูกค้าของตะวันตกก็จะได้รับเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อครัวซูชิอนุรักษ์นิยมในประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างทุกชนิดใหม่ของซูชิที่ทำตอนนี้ในวันนี้ บางสิ่งบางอย่างที่ได้รับการพิจารณาข้อห้ามในเอโดะซูชิสไตล์ประเพณีจริงเปิดออกมาจะดีมาก ในปัจจุบันประเพณีของซูชิได้แพร่กระจายไปทั่วโลกและอยู่ในซูชิสไตล์ฟิวชั่นหรือเฟสซูชิสไตล์อเมริกัน จะได้รับวิธีนี้มาเกือบ 20 ปีและจะเริ่มต้นที่ระดับปิดที่จุดสูงสุดของ (เป็นวิวัฒนาการการทำอาหาร) ตั้งแต่มีการปฏิวัติจริงๆไม่มี "การพัฒนาของ" เช่นแคลิฟอร์เนียโรล ม้วนใหม่จำนวนมากจะเห็นที่นี่และมี แต่พวกเขาเป็นเพียงการรวมกันของส่วนผสมที่มีอยู่ที่มีชื่อที่แตกต่างกันให้กับพวกเขา ฟิวชั่นหรือซูชิสไตล์อเมริกันมีมากขึ้นของทัศนคติอเนกประสงค์ใหม่ที่มีต่อซูชิและอีกครั้งที่จะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นอาหารพัฒนา มันจะน่าสนใจที่จะรอและดูว่าแนวโน้มต่อไปในซูชิจะเป็นเหมือน