บริษัท dhl ได้นำกลยุทธ์ทางธุรกิจมาใช้คือ mass customization หรือที่เรียกง่ายๆคือ การผลิตตามความต้องการของลูกค้า ซึ่ังเป็นการผลิตและเก็บสต๊อกในรูปงานระหว่างการ(work in process:WIP) ที่ยังไม่สมบูรณ์ เมื่อลูกค้าสั่งสินค้าเข้ามาจึงนำงานระหว่างกระบวนการมาผลิตผ่านขั้นตอนต่างๆที่เหลือจนได้สินค้าตามที่ลูกค้าต้องการ ด้วยสถานการณ์การแข่งขันเชิงธุรกิจที่รุนแรงลูกค้าจะมีความต้องการที่ต่างกันทำให้บริษัท Dhl เลือกใช้กลยุทธ์ Mass customization เพื่อสร้างความหยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายในต้นทุนที่เหมาะสมและตามระยะเวลาที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งดีกว่าแบบ make to order ข้อดีคือต้นทุนต่ำแต่ลูกค้าได้รับการบริการที่ช้า ส่วน make to stock ข้อดีคือลูกค้าได้รับการบริการที่รวดเร็วแต่ใช้ต้นทุนสูง ดังนั้น dHL จึงเลือกใช้ mass customization ซึ่งมีประสิทธิภาพมากที่สุดกเพราะสามารถบริการลูกค้าได้ตามความต้องการและยังสามารถลดความเสี่ยงของต้นทุนได้อีกด้วย ทำให้ลูกค้าเลือกใช้บริการ dhl เพราะประสิทธิผลที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากวัตถุประสงค์ของลูกค้าทั้งในเรื่องบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่ดีในการขนส่งสินค้า