Brake Systems TheoryThe basic funct

Brake Systems Theory

The basic function of the brake system in a vehicle is to convert Kinetic Energy into Heat Energy. This is done by the brake system converting momentum of the vehicle into heat energy at the brakes through the moving brake rotor/drum and a frictional material, better known as brake pads/shoes.

It should be known that energy cannot be destroyed; only converted. Thus once we convert the momentum of a vehicle or Kinetic Energy into Heat Energy through brake application or friction, a vehicle will come to a stop and is held in place by Static Friction. Static Friction can also be referred to as Pressure and the road we drive is a form of Static Friction.

There are four factors that determine the effectiveness of the braking system. The first three are factors of friction (Pressure, Coefficient of Friction (COF) and Frictional Contact Surface). The forth is a result of the first three which is created as a result, Heat or Heat Dissipation.

-Pressure, the greater the pressure that is applied by the braking system the more heat friction which will develop at the brake units. This is achieved by brake pedal force though hydraulic pressure multiplication of the master cylinder to the braking system via the brake lines and fluid.

-Coefficient of Friction (COF) is the amount of friction generated between two surfaces, or the relationship between the frictional brake pads/shoes and the brake rotors/drums. COF can be expressed as a mathematical equation that is used to determine frictional material’s effectiveness to stop a vehicle. COF is determined by dividing the force required to pull an object across a surface by the weight of the object. So if you have a 100 pound object and it requires 100 pounds of force to pull that object, the equation would be 100 divided by 100 for a COF of 1.

-Frictional Contact Surface is the amount of surface area in contact with the frictional brake material while braking. Simply stated, that the larger a vehicles brakes are the easier it is to stop then smaller brakes.

-Heat Dissipation is the biggest factory in the effectiveness in a vehicles ability to stop safely. A brake system must be designed properly to conduct the heat away from the pads/shoes and rotors/drums and be absorbed into the surrounding air. The inability to properly dissipate heat will result in Brake Fade and loss of braking power with longer stopping distances.

Brake Fade is commonly caused by excessive heat build up during braking. The brake pedal will feel normal, but the ability to stop is drastically reduced. During braking and as heat is generated from the friction, the pad/shoe linings generate a gas. This result is called out-gassing or off-gassing. This gas can quickly form an air gap between the frictional material and the braking surface. As brake pressure is applied, the clamping force will slip on the gas, and this in known as brake fade.

It should also be known, that Brake Fade can also be caused if, brake fluid (which is hygroscopic) absorbs too much moisture and its boiling point is lowered, causing a gas in the fluid from excessive heat build up. Fluid is not compressible, but gas in the fluid can easily be compressed.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ทฤษฎีระบบเบรคฟังก์ชันพื้นฐานของระบบเบรคในรถเป็นการ แปลงพลังงานจลน์เป็นพลังงานความร้อน สิ่งนี้ทำ โดยเบรกระบบแปลงโมเมนตัมของยานพาหนะเป็นพลังงานความร้อนที่ใช้เบรคย้ายเบรคใบพัด/กลองและวัสดุ frictional รู้จักกันดีเป็นเบรค/รองเท้าควรทราบว่า พลังงานไม่สามารถถูกทำลาย แปลงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเราแปลงโมเมนตัมของรถ หรือพลังงานจลน์เป็นพลังงานความร้อนโดยการใช้เบรค หรือแรงเสียดทาน รถจะมาชะงักงัน และจะจัดขึ้นในสถานที่ โดยแรงเสียดทานคงที่ แรงเสียดทานคงที่สามารถยังอ้างอิงกับแรงดัน และถนนที่เราขับรถเป็นรูปแบบของแรงเสียดทานคงที่มีปัจจัยสี่ที่กำหนดประสิทธิภาพของระบบเบรก สามตัวแรกเป็นปัจจัยของแรงเสียดทาน (แรงดัน สัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทาน (COF) และพื้น ผิวติดต่อ Frictional) ออกมาเป็นผลลัพธ์ครั้งแรกสามซึ่งสร้างขึ้นเป็นผลให้ ความร้อนหรือระบายความร้อนแบบ การ-ความดัน ความดันยิ่งที่ใช้ระบบเบรกแรงเสียดทานความร้อนมากขึ้นซึ่งจะพัฒนาที่หน่วยเบรค นี้สามารถทำได้ โดยคูณความดันไฮดรอลิกแต่ลแรงเบรคของถังหลักระบบผ่านรายการเบรกและน้ำมันเบรก-สัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทาน (COF) คือ จำนวนของแรงเสียดทานที่สร้างขึ้นระหว่างพื้นผิวทั้งสอง หรือความสัมพันธ์ระหว่างใบพัด/กลองเบรคและเบรค frictional/รองเท้า COF สามารถแสดงเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการกำหนดประสิทธิภาพของวัสดุ frictional เพื่อหยุดรถ COF จะถูกกำหนด โดยการหารแรงที่ต้องดึงวัตถุผ่านพื้นผิว โดยน้ำหนักของวัตถุ ดังนั้น ถ้าคุณมีวัตถุ 100 ปอนด์ และต้อง 100 ปอนด์ ของแรงดึงวัตถุ สมการจะเป็น 100 หาร ด้วย 100 สำหรับ COF 1-พื้นผิวติดต่อ frictional คือ จำนวนพื้นที่ผิวกับวัสดุ frictional เบรคขณะเบรค กล่าว ที่เบรครถเพิ่มใหญ่มากที่มีง่ายขึ้นจึงหยุดเบรคแล้วเล็ก-ความร้อนกระจายเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประสิทธิภาพในยานพาหนะความสามารถหยุดได้อย่างปลอดภัย ระบบห้ามล้อต้องออกแบบอย่างถูกต้องเพื่อทำความร้อนรองเท้า/แผ่นและใบพัด/กลอง และหลงไปในอากาศโดยรอบ ไม่สามารถกระจายไปความร้อนอย่างถูกต้องจะส่งผลในเบรคค่อย ๆ ปรากฏและสูญเสียเบรคไฟฟ้า มีระยะหยุดยาวโดยทั่วไปได้เกิดจากการสร้างความร้อนมากเกินไปค่าค่อย ๆ เบรคช่วงเบรค คันเบรคจะรู้สึกปกติ แต่ช่วยลดความสามารถในการหยุด ในระหว่างเบรก และเป็นสร้างความร้อนจากแรงเสียดทาน linings แผ่น/รองเท้าสร้างก๊าซ ผลลัพธ์นี้คือแจ้ง gassing หรือ gassing ปิด ก๊าซนี้สามารถได้อย่างรวดเร็วแบบมีช่องว่างอากาศระหว่าง frictional วัสดุและพื้นผิวเบรก ขณะที่ใช้แรงดันเบรค clamping แรงจะจัดส่งก๊าซ และนี้ในรู้จักกับเบรคค่อย ๆควรยังทราบ ว่า เบรกตกสามารถเกิดขึ้นถ้า เบรก (ซึ่งเป็น hygroscopic) ดูดซับความชื้นมากเกินไป และจุดเดือดจะลดลง เกิดเป็นก๊าซในน้ำจากความร้อนมากเกินไปกิน ของเหลวไม่สามารถอัดตัวได้ แต่ในน้ำสามารถจะถูกบีบ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ทฤษฎีระบบเบรค
ฟังก์ชั่นพื้นฐานของระบบเบรคในรถคือการแปลงพลังงานจลน์เป็นพลังงานความร้อน นี้จะกระทำโดยระบบเบรกแปลงโมเมนตัมของรถเป็นพลังงานความร้อนที่เบรคผ่านย้ายใบพัดเบรค / กลองและวัสดุแรงเสียดทานดีกว่าเรียกว่าผ้า / รองเท้าเบรค

มันควรจะทราบว่าพลังงานไม่สามารถถูกทำลายได้ แปลงดังนั้นเมื่อเราแปลงโมเมนตัมของรถหรือพลังงานจลน์เป็นพลังงานความร้อนจากการเบรคหรือแรงเสียดทาน รถจะหยุด และจะจัดขึ้นในสถานที่โดยแรงเสียดทานสถิต แรงเสียดทานสถิตยังสามารถเรียกว่าความดันและถนนที่เราขับเป็นรูปแบบของแรงเสียดทานสถิต

มี 4 ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพของระบบเบรก .สามอันแรกเป็นปัจจัยของแรงเสียดทาน ( ค่าสัมประสิทธิ์แรงดันของแรงเสียดทาน ( cof ) และแรงเสียดทานผิวสัมผัส ) มาเป็น " สามตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นเป็นผลมาจากความร้อนหรือระบายความร้อน

- ความดันมากกว่าความดันที่ใช้โดยระบบเบรกมากขึ้นความร้อนแรงเสียดทานซึ่งจะพัฒนาที่เบรกหลังนี่คือความโดยการเหยียบเบรกแรง แต่การคูณของกระบอกสูบไฮดรอลิก กับระบบเบรกผ่านสายเบรคและของเหลว

- ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน ( cof ) คือปริมาณของแรงเสียดทานที่สร้างขึ้นระหว่างสองพื้นผิว หรือความสัมพันธ์ระหว่างผ้าเบรค / แรงเสียดทานรองเท้าเบรกใบพัด / กลองcof สามารถแสดงเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพแรงเสียดทานวัสดุเพื่อหยุดรถ cof ถูกกำหนดโดยแบ่งแรงที่จำเป็นเพื่อดึงวัตถุทั่วพื้นผิวโดยน้ำหนักของวัตถุ ดังนั้นถ้าคุณมี 100 ปอนด์ วัตถุ และมันต้องมี 100 ปอนด์เพื่อดึงวัตถุที่สมการจะเป็น 100 หารด้วย 100 สำหรับ cof

1- แรงเสียดทานผิวสัมผัสเป็นปริมาณพื้นที่ผิวสัมผัสกับวัสดุเบรกแรงเสียดทานขณะเบรค ระบุเพียงว่าเป็นรถที่มีเบรกก็ง่ายที่จะหยุดและเล็กลงเบรค

- การกระจายความร้อน เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประสิทธิภาพในความสามารถรถหยุดได้อย่างปลอดภัยระบบเบรค ต้องได้รับการออกแบบอย่างถูกต้องเพื่อนำความร้อนออกจากผ้า / รองเท้าและใบพัด / กลอง และถูกดูดซึมเข้าไปในอากาศโดยรอบ ไม่สามารถที่จะถูกกระจายความร้อนจะมีผลในการเบรกหาย และการสูญเสียของแรงต้านทานกับระยะหยุดยาว

เบรคหาย มักเกิดจากความร้อนมากเกินไปสร้างขึ้นในระหว่างเบรก เหยียบเบรคจะรู้สึกปกติแต่ความสามารถในการหยุดจะลดลงอย่างมาก ในระหว่างการเบรกและเมื่อความร้อนถูกสร้างขึ้นจากการเสียดสี รองเท้าแผ่น / linings สร้างก๊าซ ผลนี้ถูกเรียก gassing หรือปล่อยก๊าซ . ก๊าซนี้ได้อย่างรวดเร็วสามารถสร้างช่องว่างอากาศระหว่างวัสดุและเบรกแรงเสียดทานพื้นผิว เป็นแรงดันเบรกที่ใช้ที่หนีบแรงจะลื่นในก๊าซและนี้เรียกว่าเบรคหาย

มันก็เป็นที่รู้จักกันว่าเบรคหาย ยังสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าน้ำมันเบรค ( ซึ่งเป็น hygroscopic ) ดูดซับความชื้นมากเกินไปและมีจุดเดือดต่ำลง ทำให้เกิดแก๊สในของเหลวจากความร้อนมากเกินไปสร้างขึ้น ของเหลวไม่อัด แต่ก๊าซในของเหลวได้อย่างง่ายดายสามารถบีบอัด