This study showed that nonadherence

This study showed that nonadherence was higher in young respondents, those with lower education, and those living in rural areas. Several studies had showed that adherence to antihypertensive drugs varies across age groups, levels of education, and the living statuses of the study population. [17],[20],[21] This study finding that poor adherence was higher in newly diagnosed hypertensive patients could have resulted from poor patient education on drug adherence at the commencement of antihypertensives on need to adhere to therapy to reduce the likelihood of life-threatening complications such as stroke and cardiac failure. [8] This study found that patients with high pill burden and those without family support had equally poor drug adherence. These findings implied that supposed drug resistance could be due to unidentified low adherence among the study population. [17] Various studies had reported that treatment partners and family support improve patients with chronic conditions adherence to therapy. [22],[23],[24] This finding emphasizes the necessity of ensuring family and social support at the commencement and continuation of antihypertensive therapy.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การศึกษานี้แสดงให้เห็น nonadherence ที่สูงในหนุ่มผู้ตอบ ผู้ที่ มีการศึกษาต่ำ และผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบท หลายการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่ายึดมั่นในการลดความดันโลหิตยาแตกต่างกันไปในกลุ่มอายุ ระดับการศึกษา และสถานะอยู่อาศัยของประชากรศึกษา [17], [20], [21] ศึกษานี้หาที่ยึดมั่นไม่ดีมีสูงขึ้นในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงวินิจฉัยใหม่อาจมีผลจากการศึกษาผู้ป่วยยากจนบนยึดยาเสพติดที่เริ่มของ antihypertensives ในการปฏิบัติการรักษาเพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่คุกคามชีวิตเช่นโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจล้มเหลวได้ [8]ศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่ มีภาระสูงยาและผู้ที่ไม่สนับสนุนครอบครัวได้ยึดยาเสพติดไม่ดีเท่า ๆ กัน ค้นพบเหล่านี้โดยนัยว่า ดื้อยาควรอาจเนื่องจากไม่ได้ระบุต่ำยึดของประชากรศึกษา [17] ศึกษาต่าง ๆ มีรายงานว่า รักษาพันธมิตรและสนับสนุนครอบครัวปรับปรุงผู้ป่วย ด้วยโรคเรื้อรังยึดมั่นรักษา [22], [23], [24] ที่พบนี้เน้นความจำเป็นของการให้การสนับสนุนครอบครัว และสังคมที่เริ่มต้นและต่อเนื่องของการรักษาลดความดันโลหิต

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าไม่ร่วมมือก็สูงขึ้นในการตอบแบบสอบถามหนุ่มผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่าและผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท การศึกษาหลายแห่งได้แสดงให้เห็นว่าการยึดมั่นกับยาลดความดันแตกต่างกันไปในทุกกลุ่มอายุระดับการศึกษาและสถานะความเป็นอยู่ของประชากรการศึกษา [17] [20], [21] การศึกษาครั้งนี้พบว่าการยึดมั่นยากจนสูงในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงการวินิจฉัยใหม่อาจมีผลมาจากการศึกษาผู้ป่วยที่ไม่ดีต่อความร่วมมือในยาเสพติดที่เริ่ม antihypertensives จำเป็นที่จะต้องยึดมั่นในการรักษาเพื่อลดโอกาสของ ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเช่นโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจล้มเหลว [8] การศึกษาครั้งนี้พบว่าผู้ป่วยที่มีภาระยาสูงและผู้ที่ไม่มีการสนับสนุนจากครอบครัวมีกินยาที่ไม่ดีอย่างเท่าเทียมกัน การค้นพบนี้ส่อให้เห็นว่าการดื้อยาควรอาจเป็นเพราะการยึดมั่นต่ำไม่ปรากฏชื่อในหมู่ประชากรการศึกษา [17] การศึกษาต่างๆได้รายงานว่าพันธมิตรการรักษาและการสนับสนุนจากครอบครัวผู้ป่วยที่มีการปรับปรุงเงื่อนไขการยึดมั่นต่อการรักษาโรคเรื้อรัง [22] [23], [24] การค้นพบนี้เน้นความจำเป็นในการสร้างความมั่นใจในครอบครัวและการสนับสนุนทางสังคมที่เริ่มและความต่อเนื่องของการรักษาด้วยการลดความดันโลหิต

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การศึกษานี้พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าหนุ่มแล ผู้ที่มีการศึกษาน้อย และผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบท หลายการศึกษาพบว่า การได้รับยาลดความดันโลหิตไปทั่วกลุ่ม อายุ ระดับการศึกษา และสถานภาพชีวิตของประชากรศึกษา [ 17 ] , [ 20 ] , [ 21 ] การศึกษาครั้งนี้พบว่าคนจนสูงกว่าในการวินิจฉัยใหม่ผู้ป่วยอาจมีผลจากการศึกษาผู้ป่วยที่ยากจนในความร่วมมือในการใช้ยาลดความดันโลหิตที่ต้องปฏิบัติตาม การรักษาเพื่อลดโอกาสของภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น โรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจล้มเหลว [ 8 ] ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่มียาภาระและไม่มีการสนับสนุนของครอบครัวได้ไม่ดีเท่ายาการยึดมั่น การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าจะดื้อยา อาจเนื่องจากการต่ำไม่ปรากฏในหมู่ประชากรศึกษา [ 17 ] การศึกษาต่างๆ ได้รายงานว่า พันธมิตร การรักษาและการสนับสนุนจากครอบครัวผู้ป่วยเรื้อรังเงื่อนไขการปรับปรุงการรักษา [ 22 ] [ 23 ] , [ 24 ] ค้นหานี้เน้นความจำเป็นของการให้ครอบครัวและแรงสนับสนุนทางสังคมในการต่อเนื่องของการลดและการรักษา