เมื่อแต่งงานมีครอบครัว ก็แยกย้ายต่างคนต่างอยู่ นานทีปีครั้ง พ่อ แม่ ลูก จะแลกเปลี่ยนไปเยี่ยมเยียนกัน เช่นในวันคริสต์มาสและปีใหม่ เป็นต้น ส่วนพ่อแม่บัดนี้ย่างเข้าสู่วัยเกษียณ วัยชราแล้ว เป็นช่วงเวลาที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ว้าเหว่ เหงาหงอย ชีวิตอยู่กันตามลำพังสองคนตายาย
คนอเมริกันเมื่อย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย ลูกเต้าไม่ได้มาดูแลเอาใจใส่เลี้ยงดู อาศัยเงินออมที่เก็บหอมรอมริบไว้ บวกเงินสวัสดิการคนสูงอายุของรัฐ คนชราที่ไม่มีบ้านเป็นของตนเอง ก็เข้าอยู่ตามบ้านพักคนชรา ใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่น สังคมอเมริกันเป็นเช่นนี้ จากรุ่นปู่ รุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก รุ่นหลาน ในเวลานี้คนอเมริกันวัยเกษียณพากันวิตกกังวลมาก เพราะรัฐประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณอย่างหนัก รัฐเองพยายามหาทางตัดลดค่าใช้จ่าย โดยการลดทอนสวัสดิการสาธารณะต่างๆ เช่นค่ารักษาพยาบาลฟรีแก่คนสูงอายุ ทำให้ชีวิตคนอเมริกันที่ปลดระวางยากลำบากกว่าแต่ก่อน
เปรียบเทียบกับสังคมไทยที่แตกต่างกัน วัฒนธรรมสังคมไทยเป็นสังคมที่ผูกพัน ช่วยเหลือ เกื้อกูล อย่างใกล้ชิด ระหว่างพ่อ แม่ ลูก พ่อแม่เลี้ยงลูกตั้งแต่ยังแบเบาะจนเติบใหญ่ จนลูกทำงานทำการ มีครอบครัว มีลูกซึ่งก็คือหลาน พ่อแม่บัดนี้เป็นคุณปู่-คุณย่า-คุณตา-คุณยาย ยังต้องคอยเลี้ยงหลานให้อีก หลังจากที่ได้เลี้ยงคนที่เป็นลูกมาจนโต ส่วนลูกๆ เมื่อพ่อแม่แก่ชราแล้ว ก็ทำหน้าที่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ต่อไปจนกว่าตายจากกัน ไม่ปล่อยให้พ่อแม่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไปอยู่บ้านพักคนชราเหมือนสังคมฝรั่ง