CAP เป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่

CAP เป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงแรกๆ ซึ่งจะแบ่งย่านความถี่ออกเป็น 3 ช่วงกว้างๆ คือ Uplink(ส่งข้อมูล) Downlink(รับข้อมูล) และ Pots(ย่านความถี่โทรศัพท์) ในขณะที่ DMT จะมีการแบ่งแต่ละช่วงความถี่ ออกเป็นช่วงเล็กๆ อีกโดยเรียกว่า Bin ซึ่งแต่ละบินจะถูกแบ่งออกเป็น Bin ละ 4 KHertz ซึ่งเทคนิคนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษคือ มันจะสามารถเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสม กับสภาพแวดล้อมและคุณภาพสายในขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีนี้ ถือเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานในการเข้ารหัสสัญญาณของ ADSL

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ฝาเป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงแรก ๆ ซึ่งจะแบ่งย่านความถี่ออกเป็น 3 ช่วงกว้าง ๆ คือ Uplink(ส่งข้อมูล) Downlink(รับข้อมูล) และ Pots(ย่านความถี่โทรศัพท์) ในขณะที่ DMT จะมีการแบ่งแต่ละช่วงความถี่ออกเป็นช่วงเล็ก ๆ อีกโดยเรียกว่าช่องซึ่งแต่ละบินจะถูกแบ่งออกเป็นช่องล่ะ 4 KHertz ซึ่งเทคนิคนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษคือมันจะสามารถเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและคุณภาพสายในขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติซึ่งปัจจุบันนี้เทคโนโลยีนี้ถือเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานในการเข้ารหัสสัญญาณของ ADSL

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

CAP เป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงแรก ๆ ซึ่งจะแบ่งย่านความถี่ออกเป็น 3 ช่วงกว้าง ๆ คือ Uplink (ส่งข้อมูล) Downlink (รับข้อมูล) และกระถาง (ย่านความถี่โทรศัพท์) ในขณะที่ DMT จะมีการแบ่งแต่ละ ช่วงความถี่ออกเป็นช่วงเล็ก ๆ อีกโดยเรียกว่าถังซึ่งแต่ละบินจะถูกแบ่งออกเป็นถังละ 4 KHertz ซึ่งเทคนิคนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษคือมันจะสามารถเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและคุณภาพสายในขณะนั้นได้ โดยอัตโนมัติซึ่งปัจจุบันนี้เทคโนโลยีนี้ถือเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานในการเข้ารหัสสัญญาณของ ADSL

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

หมวกเป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงแรกๆซึ่งจะแบ่งย่านความถี่ออกเป็น 3 ช่วงกว้างๆเชื่อมความ ( ส่งข้อมูล ) ดา ( รับข้อมูล ) และหม้อ ( ย่านความถี่โทรศัพท์ ) ในขณะที่ DMT จะมีการแบ่งแต่ละช่วงความถี่ออกเป็นช่วงเล็กๆอีกโดยเรียกว่าซึ่งแต่ละบินจะถูกแบ่งออกเป็นละ 4 khertz ซึ่งเทคนิคนี้จะบินบิน มีคุณสมบัติพิเศษคือมันจะสามารถเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและคุณภาพสายในขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติซึ่งปัจจุบันนี้เทคโนโลยีนี้ถือเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานในการเข้ารหัสสัญญาณของ ADSL