Perhaps some of you have seen the T

Perhaps some of you have seen the TV show “Lie to Me”. In it, a talented psychologist solves criminal cases based entirely on the behavior of people. Whom of us would not want to be able to understand whether we are lied to, or told the truth? Fortunately, this is not science fiction, and reading body language is possible; it is not difficult, and with some extra attention and experience, you will be able to distinguish truth and lies rather often.

Deception can be detected by the way a person moves. Usually, a lying person moves less freely than one telling the truth; gestures, arm and hands movements, and facial expressions become stiff. Moreover, these arm and hand movements are aimed in the direction inward to the liar, as if he or she is trying to incorporate something within themselves. Lying people often try to avoid eye contact (although in some countries this is a sign of politeness and respect), and often touch their face, mouth, nose, ears, and so on. Also, touching their chest – a sign of sincerity – is uncommon for liars (Blifaloo).

A less obvious but still effective way to catch a liar is to watch his or her eyes. According to recent studies of deception, people blink less when trying to deceive a person they talk to. Because of nervousness, liars would be expected to fidget more, but cognitive load (which is having to think about what you say – lying requires plotting) has the opposite effect. Against all expectations, in deceptive situations, liars usually behave calmer than a normal person would, and fidget less. This leads, in particular, to the effect when liars blink or move their eyes less; in fact, it is common for liars to stare at one point when talking. This is due to having to invent and/or repeat lies, which is more difficult than truth (Time).

Slow speech can also be an indicator of lying, especially combined with the two previous signs. Although many people speak slowly just because it is in their nature, liars have to slow down the pace of their speech because they need to hide the truth, and invent new facts and data instead of it. It is the same cognitive load as in the case with eye movement. Due to the same reason, liars often make pauses in their speech. All this is called nonverbal communication, and it can tell you a lot about a person through how they say something, not what they say.

Liars behave different from regular people when talking; usually, there are several signs, which, combined, can indicate if a person is lying. Liars usually make less movements when talking, their gestures, pose, and facial expressions are stiff and tensed. Because of constantly having to think about what to say, liars do not control their micro-movements; as a result, their eyes are often still, staring at one point. Due to the same reason, they often speak slowly, with a large number of pauses.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

บางทีบางท่านได้เห็นรายการโทรทัศน์ "โกหกฉัน" ในนั้นเป็นนักจิตวิทยาที่มีความสามารถแก้คดีอาญาทั้งหมดขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้คน คนของเราจะไม่ต้องการที่จะสามารถที่จะเข้าใจว่าเราจะโกหกหรือบอกความจริง? โชคดีที่นี้ไม่ได้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์และการอ่านภาษากายเป็นไปได้; มันไม่ได้เป็นเรื่องยากและมีบางความสนใจเป็นพิเศษและประสบการณ์ที่คุณจะสามารถที่จะแยกแยะความจริงและอยู่ค่อนข้างบ่อยครั้ง. หลอกลวงสามารถตรวจพบได้โดยวิธีการย้ายคน มักจะเป็นคนโกหกย้ายได้อย่างอิสระน้อยกว่าหนึ่งในการบอกความจริง ท่าทางและการเคลื่อนไหวของแขนมือและการแสดงออกทางสีหน้ากลายเป็นแข็ง นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของแขนและมือมีจุดมุ่งหมายในทิศทางขาเข้าที่จะโกหกเช่นถ้าเขาหรือเธอจะพยายามที่จะรวมบางสิ่งบางอย่างภายในตัวเอง โกหกคนมักจะพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสตา (แม้ว่าในบางประเทศนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสุภาพและเคารพ) และมักจะสัมผัสใบหน้าของพวกเขาปากจมูกหูและอื่น ๆ นอกจากนี้การสัมผัสหน้าอกของพวกเขา - สัญญาณของความจริงใจ - เป็นเรื่องแปลกสำหรับโกหก (Blifaloo). วิธีที่ชัดเจนน้อยลง แต่ยังคงมีประสิทธิภาพในการจับโกหกคือการดูตาของเขาหรือเธอ ตามการศึกษาล่าสุดของการหลอกลวงคนกระพริบตาน้อยลงเมื่อพยายามที่จะหลอกลวงคนที่พวกเขาพูดคุยกับ เพราะความกังวลใจโกหกจะคาดว่าจะอยู่ไม่สุขมากขึ้น แต่โหลดองค์ความรู้ (ซึ่งจะมีการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณพูด - ต้องโกหกพล็อต) มีผลในทางตรงกันข้าม กับความคาดหวังทั้งหมดในสถานการณ์หลอกลวงโกหกมักจะทำตัวเงียบสงบกว่าคนปกติจะและอยู่ไม่สุขน้อย นี้นำไปสู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะมีผลเมื่อโกหกกระพริบตาหรือย้ายสายตาของพวกเขาน้อยกว่า ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะโกหกจ้องมองที่จุดหนึ่งเมื่อพูดคุย นี่คือสาเหตุที่มีการคิดค้นและ / หรือทำซ้ำอยู่ซึ่งเป็นเรื่องยากเกินกว่าความจริง (Time). การพูดช้ายังสามารถเป็นตัวบ่งชี้ของการโกหกรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทั้งสองสัญญาณก่อนหน้า แม้ว่าจะมีหลายคนพูดช้าเพียงเพราะมันมีอยู่ในธรรมชาติของพวกเขาโกหกต้องชะลอตัวลงก้าวของการพูดของพวกเขาเพราะพวกเขาต้องการที่จะซ่อนความจริงและข้อเท็จจริงที่คิดค้นใหม่และข้อมูลแทนมัน มันเป็นภาระทางความคิดเช่นเดียวกับในกรณีที่มีการเคลื่อนไหวของตา เนื่องจากเหตุผลเดียวกันโกหกมักจะทำให้หยุดในการพูดของพวกเขา ทั้งหมดนี้เรียกว่าการสื่อสารอวัจนภาษาและมันสามารถบอกคุณได้มากเกี่ยวกับบุคคลผ่านวิธีที่พวกเขาพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ได้สิ่งที่พวกเขากล่าวว่า. โกหกทำตัวแตกต่างจากคนปกติเมื่อพูด; มักจะมีหลายสัญญาณที่รวมกันสามารถระบุได้ว่าถ้าเป็นคนที่กำลังนอนอยู่ โกหกมักจะทำให้การเคลื่อนไหวน้อยลงเมื่อพูดท่าทางของพวกเขาก่อให้เกิดและการแสดงออกทางสีหน้าและแข็งเกร็ง เพราะตลอดเวลาที่มีการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดโกหกไม่ได้ควบคุมการเคลื่อนไหวของไมโครของพวกเขา เป็นผลให้ตาของพวกเขามักจะยังคงจ้องมองที่จุดหนึ่ง มีเหตุผลเดียวที่พวกเขามักจะพูดช้าที่มีจำนวนมากของการหยุด

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

บางทีบางท่าน เคยเห็นรายการทีวี " โกหก " มัน เป็นนักจิตวิทยาที่มีความสามารถแก้คดีอาญาขึ้นอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับพฤติกรรมของคน ที่เราไม่ต้องการที่จะเข้าใจได้ว่าเราโกหกหรือพูดความจริง โชคดีที่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ และการอ่านภาษากายเป็นที่สุด มันไม่ยากและมีความสนใจพิเศษ และประสบการณ์คุณจะสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความจริงและเท็จค่อนข้างบ่อย

การหลอกลวงสามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีที่คนย้าย โดยปกติ โกหกคนน้อยกว่าย้ายได้อย่างอิสระมากกว่าหนึ่งพูดความจริง ; ท่าทาง , แขนและมือ การเคลื่อนไหวและสีหน้ากลายเป็นแข็ง ส่วนของมือและแขนเหล่านี้จะมุ่งไปในทิศทางขาเข้าที่จะโกหกเช่นถ้าเขาหรือเธอพยายามที่จะรวมบางอย่างภายในตัวเอง โกหกผู้คนมักจะพยายามหลีกเลี่ยงการสบตา ( แม้ว่าในบางประเทศ นี่เป็นสัญญาณของความสุภาพและเคารพ ) และมักจะสัมผัสใบหน้าของตน ปาก จมูก หู และ ยังจับที่หน้าอกของตน และสัญลักษณ์ของความจริงใจจึงเป็นปกติ ( blifaloo

" )วิธีที่เห็นได้ชัดน้อยลง แต่ยังคงมีประสิทธิภาพเพื่อจับโกหก คือ ดูสายตาของเขาหรือเธอ ตามการศึกษาล่าสุดของการหลอกลวงคนกระพริบตาน้อยลง เมื่อพยายามจะหลอกคนที่เขาคุยด้วย เพราะความประหม่า โกหก จะคาดหวังกระวนกระวายมากขึ้น แต่ภาระการคิด ( ซึ่งมีการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณพูดและโกหกต้องวางแผน ) ได้ตรงกันข้าม กับความคาดหวังในสถานการณ์ที่หลอกลวง โกหก มักจะทำตัวสงบกว่าคนปกติ และหงุดหงิดน้อยลง นี้นัก โดยเฉพาะกับผลเมื่อโกหกกระพริบตาหรือย้ายตาน้อย ในความเป็นจริง มันเป็นปกติสำหรับคนโกหกจ้องที่จุดหนึ่ง เมื่อพูดถึง นี้เป็นเพราะมีการคิดค้น และ / หรือ ย้ำอยู่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องยากกว่าความจริง ( เวลา )

ช้าเสียงพูดยังสามารถเป็นตัวบ่งชี้ของการโกหกรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับก่อนหน้านี้สองป้าย . แม้ว่าหลายคนพูดช้าๆ เพราะมันอยู่ในธรรมชาติของพวกเขา โกหก ต้องชะลอตัวลงก้าวของการพูดของพวกเขาเพราะพวกเขาต้องการที่จะปิดบังความจริง และคิดค้นข้อเท็จจริงใหม่และข้อมูลแทนมัน มันเป็นเหมือนการโหลดเป็นในกรณีของการเคลื่อนไหวของตา เนื่องจากเหตุผลเดียวกัน คนโกหกมักจะทำให้หยุดในการพูดของพวกเขาทั้งหมดนี้เรียกว่า อวัจนภาษา และมันสามารถบอกคุณมากเกี่ยวกับบุคคลที่ผ่านว่าพวกเขาพูดอะไร ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพูด

" ทำตัวแตกต่างจากคนปกติ เมื่อพูดถึง ; มักจะมีสัญญาณหลายที่ รวม สามารถระบุได้ว่า ถ้าคนที่กำลังโกหก โกหกมักจะทำให้การเคลื่อนไหวน้อยเมื่อพูดของพวกเขา , ท่าทาง , ท่าทางและการแสดงออกทางสีหน้าเป็นแข็งและเกร็ง .เพราะตลอดเวลาต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูด โกหก ไม่ควบคุมการเคลื่อนไหวจุลภาค ; เป็นผลให้ดวงตาของพวกเขามักจะยังคงจ้องไปที่จุดใดจุดหนึ่ง เนื่องจากเหตุผลเดียวกัน พวกเขามักจะพูดช้า ด้วยตัวเลขขนาดใหญ่ของการหยุด