The other major contribution was ma

The other major contribution was made by a group of management theorists and
practitioners in North America and Europe who set the basis for what is now known as
"classical management theory" and "scientific management." In contrast with Weber,
they were firm advocates of bureaucratization and devoted their energies to identifying
detailed principles and methods through which this kind of organization could be
achieved. Whereas the classical management theorists focused on the design of the total
organization, the scientific managers focused on the design and management of
individual jobs. It is through the ideas of these theorists that so many mechanistic
principles of organization have become entrenched in our everyday thinking. It is thus
worth examining their work in some detail.
CLASSICAL MANAGEMENT THEORY: DESIGNING BUREAUCRATIC
ORGANIZATIONS
Typical of the classical theorists were the Frenchman Henri Fayol, the American F.
W. Mooney, and the Englishman Col. Lyndall Urwick. They were all interested in
problems of practical management and sought to codify their experience of successful
organization for others to follow. The basic thrust of their thinking is captured in the idea
that management is a process of planning, organization, command, coordination, and
control. Collectively, they set the basis for many modem management techniques, such as
management by objectives (MBO); planning, programming, budgeting systems (PPBS);
and other methods stressing rational planning and control. Each theorist codified his
insights, drawing on a combination of military and engineering principles. Exhibit 2.2
summarizes some of the general principles of classical management theory.
If we implement these principles, we arrive at the kind of organization represented in
the familiar organization chart (Exhibit 2.3): a pattern of precisely defined jobs organized
in a hierarchical manner through precisely defined lines of command or communication.
If we examine these principles closely, we find that the classical theorists were in effect
designing the organization exactly as if they were designing a machine.
When an engineer designs a machine the task is to define a network of interdependent
parts arranged in a specific sequence and anchored by precisely defined points of
resistance or rigidity. The classical theorists were attempting to achieve a similar design
in their approach to organization. We see this in the way the organization is conceived as
a network of parts: functional departments such as production, marketing, finance,
personnel, and research and development, which are further specified as networks of
precisely defined jobs. Job responsibilities interlock so that they complement each other
as perfectly as possible and are linked together through the scalar chain of command
expressed in the classical dictum "one man, one boss."
The motions of the organizational structure thus produced are made to operate as
precisely as possible through patterns of authority—for example, in terms of job
responsibilities and the right to give orders and to exact obedience. Patterns of authority
serve as points of resistance and coordinate activities by restricting activity in certain
directions while encouraging it in others. By giving detailed attention to patterns of
authority and to the general process of direction, discipline, and subordination of

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ส่วนใหญ่จะทำ โดยกลุ่มทฤษฎีการจัดการ และผู้ปฏิบัติงานในอเมริกาเหนือและยุโรปที่ตั้งพื้นฐานขณะนี้เรียกว่า"ทฤษฎีการจัดการคลาสสิก" และ "การจัดการทางวิทยาศาสตร์" สีเวพวกเขาสนับสนุนบริษัทของ bureaucratization และอุทิศพลังงานของพวกเขาเพื่อระบุรายละเอียดหลักการและวิธีการซึ่งองค์กรประเภทนี้อาจจะประสบความสำเร็จ ในขณะที่ทฤษฎีการจัดการคลาสสิกที่เน้นการออกแบบรวมองค์กร ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ที่เน้นการออกแบบและการจัดการงานแต่ละงาน ก็คือความคิดของทฤษฎีเหล่านี้ดังนั้นที่หลายกลไกหลักการขององค์กรได้กลายเป็นพบในชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นจึงเป็นควรตรวจสอบการทำงานในรายละเอียดบางอย่างทฤษฎีการจัดการคลาสสิก: การออกแบบราชการ องค์กรโดยทั่วไปของทฤษฎีคลาสสิกถูกผู้ชายฝรั่งเศส Henri Fayol, F. อเมริกันMooney ตะวันตก และการพันเอกชาวอังกฤษคน Lyndall Urwick พวกเขาก็สนใจทั้งหมดปัญหาของการจัดการที่เป็นประโยชน์ และขอประมวลประสบการณ์ของความสำเร็จองค์กรเพื่อ แรงผลักดันพื้นฐานความคิดของพวกเขาถูกจับในความคิดว่า การจัดการเป็นกระบวนการวางแผน องค์กร สั่ง ประสาน งาน และการควบคุม รวม พวกเขาตั้งค่าพื้นฐานสำหรับโมเด็มการจัดการเทคนิค เช่นการจัดการ โดยวัตถุประสงค์ (MBO); ระบบการวางแผน เขียนโปรแกรม จัดทำงบประมาณ (PPBS);และวิธีการอื่น ๆ เน้นเหตุผลการวางแผนและควบคุม Theorist ละประมวลกฎหมายของเขาการเข้าใจ การวาดภาพบนชุดของทหาร และหลักวิศวกรรม 2.2 จัดแสดงสรุปหลักการทั่วไปของทฤษฎีการจัดการคลาสสิกอย่างใดอย่างหนึ่งหากเราใช้หลักการเหล่านี้ เรามาถึงประเภทขององค์กรในแผนผังองค์กรคุ้นเคย (2.3 แสดง): แม่นยำกำหนดงานจัดรูปแบบในลักษณะที่เป็นลำดับชั้นอย่างแม่นยำกำหนดบรรทัดของคำสั่งหรือการสื่อสารถ้าเราตรวจสอบหลักการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เราพบว่า ทฤษฎีคลาสสิกมีผลบังคับออกแบบองค์กรเหมือนกับว่าพวกเขาได้ออกแบบเครื่องจักรเมื่อมีวิศวกรออกแบบ เครื่องจักรงานคือการ กำหนดเครือข่ายพึ่งพาจัดเรียงในลำดับเฉพาะ และยึดแม่นยำกำหนดจุดของต้านทานหรือความแข็งแกร่ง ทฤษฎีคลาสสิกพยายามจะให้ออกแบบคล้ายกันในแนวทางขององค์กร เราได้เห็นวิธีที่องค์กรจะรู้สึกเป็นเครือข่ายส่วน: ทำงานแผนกผลิต การตลาด การ เงินบุคลากร และการวิจัย และ พัฒนา ซึ่งมีระบุเพิ่มเติมเป็นเครือข่ายแม่นยำกำหนดงาน รับผิดชอบงานในการเชื่อมต่อเพื่อให้พวกเขาเติมเต็มกันและกันเป็นอย่างดีที่สุดและมีความเชื่อมโยงกันผ่านห่วงโซ่ของคำสั่งสเกลาแสดง dictum คลาสสิก "หนึ่งคน หนึ่งนาย"การเคลื่อนไหวของโครงสร้างองค์กรที่ผลิตจึง จะทำให้ทำงานเป็นแม่นยำที่สุดผ่านรูปแบบของอำนาจ — ตัวอย่างเช่น ในแง่ของงานรับผิดชอบและสิทธิให้ใบสั่งและ การเชื่อฟังที่แน่นอน รูปแบบของหน่วยงานเป็นจุดต้านทานและประสานกิจกรรมต่าง ๆ โดยการจำกัดกิจกรรมในบางทิศทางขณะที่กระตุ้นให้คนอื่น โดยให้ความใส่ใจรายละเอียดในรูปแบบของหน่วยงาน และกระบวนการทั่วไปของทิศทาง วินัย และตัวย่อยที่เหมาะของ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ผลงานที่สำคัญอื่น ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มของนักทฤษฎีการบริหารและ
ผู้ปฏิบัติงานในอเมริกาเหนือและยุโรปที่ติดตั้งพื้นฐานสำหรับสิ่งที่เป็นที่รู้จักกันในขณะนี้เป็น
"ทฤษฎีการจัดการคลาสสิก" และ "การจัดการทางวิทยาศาสตร์." ในทางตรงกันข้ามกับเวเบอร์
ที่พวกเขาสนับสนุน บริษัท bureaucratization และอุทิศตนให้กับการระบุ
หลักการรายละเอียดและวิธีการผ่านที่ชนิดขององค์กรนี้อาจจะ
ประสบความสำเร็จ ในขณะที่นักทฤษฎีการจัดการคลาสสิกที่มุ่งเน้นไปที่การออกแบบของรวม
องค์กรผู้จัดการวิทยาศาสตร์ที่เน้นการออกแบบและการจัดการ
งานบุคคล จะผ่านความคิดของทฤษฎีเหล่านี้ที่กลไกจำนวนมากดังนั้น
หลักการขององค์กรได้กลายเป็นที่ยึดที่มั่นในความคิดของเราในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่อง
ที่คุ้มค่าการตรวจสอบการทำงานของพวกเขาในรายละเอียดบาง.
ทฤษฎีการจัดการ CLASSICAL: การออกแบบระบบราชการ
องค์การ
โดยทั่วไปของทฤษฎีคลาสสิกเป็นชาวฝรั่งเศสอองรี Fayol อเมริกันเอฟ
ดับบลิว Mooney และอังกฤษ พ.อ. Lyndall Urwick พวกเขามีความสนใจใน
ปัญหาของการจัดการการปฏิบัติและพยายามที่จะประมวลประสบการณ์ของพวกเขาประสบความสำเร็จของ
องค์กรสำหรับคนอื่น ๆ ที่จะปฏิบัติตาม แรงผลักดันพื้นฐานของความคิดของพวกเขาถูกจับในความคิด
ว่าการจัดการเป็นกระบวนการของการวางแผนองค์กรคำสั่งการประสานงานและ
การควบคุม เรียกรวมกันว่าพวกเขาตั้งพื้นฐานสำหรับหลายเทคนิคการจัดการโมเด็มเช่น
การจัดการโดยวัตถุประสงค์ (MBO); การวางแผนการเขียนโปรแกรมระบบงบประมาณ (PPBS);
และวิธีการอื่น ๆ ที่เน้นหนักในการวางแผนและการควบคุมที่มีเหตุผล แต่ละทฤษฎีของเขาทำเป็น
ข้อมูลเชิงลึก, การวาดภาพการรวมกันของทหารและหลักการทางวิศวกรรม จัดแสดงนิทรรศการ 2.2
สรุปบางส่วนของหลักการทั่วไปของทฤษฎีการจัดการคลาสสิก.
ถ้าเราใช้หลักการเหล่านี้เรามาถึงที่ชนิดขององค์กรแสดงใน
แผนภูมิขององค์กรที่คุ้นเคย (Exhibit 2.3): รูปแบบของงานที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำจัด
ในลักษณะลำดับชั้นผ่านได้อย่างแม่นยำ เส้นที่กำหนดของคำสั่งหรือการสื่อสาร.
หากเราตรวจสอบหลักการเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเราจะพบว่าทฤษฎีคลาสสิกที่มีผลบังคับใช้
การออกแบบองค์กรตรงตามที่ว่าพวกเขากำลังออกแบบเครื่อง.
เมื่อวิศวกรออกแบบเครื่องจักรงานคือการกำหนดเครือข่ายของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ส่วนจัดให้อยู่ในลำดับที่เฉพาะเจาะจงและยึดโดยจุดที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำของ
ความต้านทานหรือความแข็งแกร่ง ทฤษฎีคลาสสิกเป็นความพยายามที่จะบรรลุการออกแบบที่คล้ายกัน
ในแนวทางของพวกเขาให้กับองค์กร เราเห็นนี้ในวิธีการที่องค์กรจะรู้สึกเป็น
เครือข่ายของชิ้นส่วน A: แผนกการทำงานเช่นการผลิต, การตลาด, การเงิน,
บุคลากรและการวิจัยและการพัฒนาซึ่งมีการระบุไว้ต่อไปเป็นเครือข่ายของ
งานที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ ความรับผิดชอบในงานเชื่อมต่อกันเพื่อให้พวกเขาเติมเต็มซึ่งกันและกัน
เป็นที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้และมีการเชื่อมโยงร่วมกันผ่านห่วงโซ่เกลาคำสั่ง
แสดงในภาษิตคลาสสิก "คนหนึ่งหนึ่งเจ้านาย."
การเคลื่อนไหวของการจัดโครงสร้างองค์กรที่ผลิตจึงจะทำให้การทำงานเป็น
อย่างแม่นยำ เป็นไปได้ผ่านรูปแบบของตัวอย่างผู้มีอำนาจสำหรับในแง่ของงานที่
รับผิดชอบและสิทธิที่จะให้คำสั่งซื้อและแน่นอนการเชื่อฟังคำสั่ง รูปแบบของผู้มีอำนาจ
ทำหน้าที่เป็นจุดของความต้านทานและประสานงานกิจกรรมโดยการ จำกัด กิจกรรมในบาง
เส้นทางในขณะที่ส่งเสริมมันในคนอื่น ๆ โดยให้ความสนใจรายละเอียดรูปแบบของการ
มีอำนาจและกระบวนการทั่วไปของทิศทางวินัยและอยู่ใต้บังคับบัญชาของ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ส่วนสาขาอื่น ๆที่ถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มของนักทฤษฎีการจัดการและผู้ปฏิบัติงานในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปที่สร้างพื้นฐานสำหรับสิ่งที่เป็นที่รู้จักกันในขณะนี้เป็น" ทฤษฎีการจัดการคลาสสิก " และ " การจัดการทางวิทยาศาสตร์ . " ในทางตรงกันข้ามกับเวเบอร์พวกเขาสนับสนุน บริษัท ของข้าราชการ และอุทิศพลังงานของพวกเขาเพื่อระบุรายละเอียดหลักการและวิธีการที่องค์กรจะเป็นแบบนี้ลุ้นรับ ขณะที่นักทฤษฎีการจัดการคลาสสิกที่เน้นการออกแบบรวมองค์กร ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ที่เน้นการออกแบบและการจัดการของงานบุคคล มันผ่านความคิดของทฤษฎีเหล่านี้มากมาย :หลักการขององค์กรได้กลายเป็นที่ยึดที่มั่นในการคิดในชีวิตประจำวันของเรา มันจึงมูลค่าการตรวจสอบการทํางานของพวกเขาในรายละเอียดทฤษฎีการจัดการแบบระบบราชการคลาสสิก :องค์กรโดยทั่วไปของทฤษฎีคลาสสิก เป็นคนฝรั่งเศส เฮนรี่ ฟาโยล , สหรัฐอเมริกา .อ. มูนี และชาวอังกฤษพ.อ. ลินดัล เ ร์วิค . ทุกคนสนใจปัญหาการจัดการการปฏิบัติและพยายามประมวลประสบการณ์ของพวกเขาประสบความสำเร็จองค์กรสำหรับคนอื่น ๆที่จะปฏิบัติตาม แรงผลักดันพื้นฐานของการคิดของพวกเขาจะถูกจับในความคิดการจัดการคือ กระบวนการวางแผน สั่งการ ประสานงาน และองค์กรควบคุม โดยรวมแล้ว การตั้งค่าพื้นฐานของเทคนิคการจัดการโมเด็มหลาย เช่นการบริหารโดยวัตถุประสงค์ ( MBO ) ; โปรแกรมการวางแผน ระบบงบประมาณ ( เสนอแนะแนวทาง )และวิธีการอื่น ๆ เหตุผล เน้นการวางแผนและการควบคุม แต่ละทฤษฎี codified ของเขาข้อมูลเชิงลึก , การวาดภาพในการรวมกันของทหารและหลักวิศวกรรม 2.2 การจัดแสดงสรุปหลักการทั่วไปของทฤษฎีการจัดการแบบดั้งเดิมถ้าเราใช้หลักการเหล่านี้เราถึงชนิดขององค์กรที่แสดงในแผนภูมิองค์กรคุ้นเคย ( จัดแสดง 2.3 ) : รูปแบบแน่นอนกำหนดงานจัดในลักษณะที่ลดหลั่นผ่านแน่นอนกำหนดบรรทัดคำสั่งหรือการสื่อสารถ้าเราตรวจสอบหลักการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด พบว่าในผลทฤษฎีคลาสสิกการออกแบบองค์การเช่นเดียวกับถ้าพวกเขาถูกออกแบบเครื่องจักรเมื่อวิศวกรออกแบบเครื่องจักร งานคือการกำหนดเครือข่ายการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันส่วนในการจัดลําดับที่เฉพาะเจาะจงและยึดโดยกำหนดจุดแน่นอนความต้านทานหรือความเข้มงวด นักทฤษฎีคลาสสิกพยายามที่จะบรรลุการออกแบบที่คล้ายคลึงกันในแนวทางขององค์กร เราเห็นนี้ในทางองค์กรจะรู้สึกเป็นเครือข่ายส่วนแผนกการทำงานเช่นการผลิต , การเงิน , การตลาดบุคลากร และการวิจัย และพัฒนา ซึ่งจะเพิ่มเติมระบุเป็นเครือข่ายของงานแม่นยำกำหนด รับผิดชอบงานส่วนที่เติมเต็มซึ่งกันและกันที่สมบูรณ์ที่สุด และจะเชื่อมโยงกันผ่านห่วงโซ่ของคำสั่งสเกลาร์ที่แสดงไว้ในคำแถลง " คลาสสิก หนึ่งคน หนึ่ง บอสการเคลื่อนไหวของโครงสร้างองค์การจึงผลิตทําทํางานเป็นแน่นอนที่สุด ผ่านรูปแบบของผู้มีอำนาจ เช่น ในแง่ของงานหน้าที่และสิทธิที่จะสั่ง และแน่นอน การเชื่อฟัง รูปแบบของอำนาจเป็นจุดของความต้านทาน และประสานงานโดย จำกัด กิจกรรมบางอย่างเส้นทางในขณะที่เล็กในคนอื่น ๆ โดยการให้ความสนใจในรายละเอียดรูปแบบของอำนาจและกระบวนการทั่วไปของทิศทาง วินัย และการ