Vinegar traditionally has been used

Vinegar traditionally has been used as a food preservative.
Whether naturally produced during fermentation or
intentionally added, vinegar retards microbial growth and
contributes sensory properties to a number of foods. The wide
diversity of products containing vinegar (sauces, ketchup,
mayonnaise, etc.) and the current fall in wine consumption
have favored an increase in vinegar production (De Ory et al
2002).
According to FDA (Food and Drug Administration, USA),
vinegar as a sour solution, contains not less than 4 grams of
acetic acid in 100 cubic centimeters at 20°C that is produced
through alcoholic and successively acetic fermentation of
sugary and starchy substrates. Earlier processes used for
making vinegar were the Orleans process (which is also
known as the slow process), the quick process (which is also
called the generator process), and the submerged culture

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

น้ำส้มสายชูซึ่งมีการใช้เป็นอาหาร preservativeว่าธรรมชาติที่ผลิตในระหว่างการหมัก หรือตั้งใจเพิ่ม น้ำส้มสายชู retards เจริญเติบโตของจุลินทรีย์ และสนับสนุนคุณสมบัติทางประสาทสัมผัสของอาหาร กว้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยน้ำส้มสายชู (ซอส ซอสมะเขือเทศมายองเนส ฯลฯ) และปัจจุบันอยู่ในการบริโภคไวน์มีชื่นชอบเพิ่มขึ้นในการผลิตน้ำส้มสายชู (เด Ory et al2002)ตาม FDA (อาหารและยา สหรัฐอเมริกา),น้ำส้มสายชูเป็นโซลูชันเปรี้ยว ประกอบด้วยราคาไม่น้อยกว่า 4 กรัมของกรดอะซิติกใน 100 ลูกบาศก์เซนติเมตรที่ 20° C ที่ผลิตผ่านการหมักแอลกอฮอล์ และอะซิติกติด ๆ กันพื้นผิวไพเราะ และฟูม กระบวนการก่อนหน้านี้ใช้สำหรับทำน้ำส้มสายชูได้การลีนส์ (ซึ่งเป็นเรียกว่ากระบวนการช้า), กระบวนการรวดเร็ว (ซึ่งเป็นเรียกว่ากระบวนการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า), และวัฒนธรรมน้ำท่วม

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

น้ำส้มสายชูประเพณีที่ถูกนำมาใช้เป็นสารกันบูดในอาหาร.
ไม่ว่าจะเป็นการผลิตตามธรรมชาติในระหว่างการหมักหรือเพิ่มเจตนาน้ำส้มสายชู retards เจริญเติบโตของจุลินทรีย์และก่อประสาทสัมผัสไปยังหมายเลขของอาหาร กว้างหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำส้มสายชู (ซอส, ซอสมะเขือเทศมายองเนส, ฯลฯ ) และฤดูใบไม้ร่วงในปัจจุบันในการบริโภคไวน์ได้รับการสนับสนุนการเพิ่มขึ้นในการผลิตน้ำส้มสายชู(เดอ Ory et al, 2002). ตามที่องค์การอาหารและยา (อาหารและยาสหรัฐอเมริกา) , น้ำส้มสายชูเป็นโซลูชั่นเปรี้ยวมีไม่น้อยกว่า 4 กรัมของกรดอะซิติกใน 100 ลูกบาศก์เซนติเมตรที่ 20 ° C ที่ผลิตผ่านการหมักแอลกอฮอล์และอะซิติกต่อเนื่องของพื้นผิวที่มีน้ำตาลและแป้ง กระบวนการก่อนหน้านี้ใช้สำหรับการทำน้ำส้มสายชูเป็นกระบวนการออร์ลีน(ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นกระบวนการที่ช้า) ซึ่งเป็นกระบวนการที่รวดเร็ว (ซึ่งเป็นที่เรียกว่ากระบวนการกำเนิด) และวัฒนธรรมจมอยู่ใต้น้ำ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

น้ำส้มสายชูแบบดั้งเดิมได้ถูกใช้เป็นอาหารสารกันบูด .
ไม่ว่าผลิตตามธรรมชาติ ระหว่างการหมัก หรือจงใจ
เพิ่มน้ำส้มสายชู retards การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และ
จัดสรรคุณสมบัติทางประสาทสัมผัสเพื่อจำนวนของอาหาร ความหลากหลายกว้าง
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำส้มสายชู ( sauces ซอสมะเขือเทศ
มายองเนส , ฯลฯ ) และฤดูใบไม้ร่วงปัจจุบัน
การบริโภคไวน์ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นในการผลิตน้ำส้มสายชู ( de ory et al , 2002

) ตามองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ( อย. )
ส้มเป็นโซลูชั่นที่เปรี้ยว มีไม่น้อยกว่า 4 กรัมของ
กรดน้ำส้ม 100 ลูกบาศก์เซนติเมตรอุณหภูมิ 20 ° C ที่ผลิตโดยการหมักแอลกอฮอล์และกรดอะซิติก
กระชั้นชิด ของ
หวานและแป้งท ก่อนกระบวนการใช้
การทำน้ำส้มสายชูคือกระบวนการออร์ ( ซึ่งยังเป็น
เรียกว่า กระบวนการช้า ) , กระบวนการที่รวดเร็ว ( ซึ่งยังเป็น
เรียกว่ากระบวนการผลิต ) และเหลว