การหาตำแหน่งความลึกของรอยความไม่ต่อเนื่องในชิ้นงานโดยทั่วไปมักใช้วิธีคลื่นเสียงความถี่สูง แต่ในบางกรณีที่มีข้อจำกัดเรื่องเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ ซึ่งการถ่ายภาพด้วยรังสีโดยวิธีการใช้เทคนิคในการหาตำแหน่งความลึกของรอยความไม่ต่อเนื่องนั้นสามารถกระทำได้เช่นกัน โดยใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบตรีโกณมิติ ซึ่งเป็นการฉายรังสีสองครั้งโดยการย้ายตำแหน่งชิ้นงานจากนั้นทำการวัดตำแหน่งของรอยความไม่ต่อเนื่องที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อคำนวณหาค่าความลึก แต่อย่างไรก็ตามการคำนวณรอยความไม่ต่อเนื่องอาจมีความคลาดเคลื่อนทำให้ความแม่นยำลดลง อันเป็นผลเนื่องมาจาก ความเปรียบต่าง (contrast) ความคมชัด (definition) หรือความบิดเบี้ยว (distortion) ในการศึกษาโครงงานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความแม่นยำและศึกษาตัวแปรที่มีผลกระทบต่อการหาตำแหน่งความลึกของรอยความไม่ต่อเนื่องระหว่างการถ่ายภาพด้วยรังสีระบบดิจิตอลและการถ่ายภาพด้วยรังสีชนิดฟิล์ม โดยผู้วิจัยทำการสร้างชิ้นงานจำลองโดยใช้ชิ้นงานทดสอบเป็นแผ่นเหล็กตามมาตรฐาน ASTM A36 ที่มีความหนารวมทั้งหมด 15 มิลลิเมตร ประกอบจากด้วยแผ่นเหล็กทั้งหมด 8 ชิ้น เพื่อใช้ในการเปลี่ยนแปลงระดับความลึกแล้วนำมาสลับตำแหน่งเพื่อกำหนดระดับความลึก 5 ระดับ คือ ระดับความลึกที่ 2 4 7 11 13 มิลลิเมตร โดยจำลองรอยความไม่ต่อเนื่องเป็นสองลักษณะคือ แบบรูปวงกลม โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 2 3 4 มิลลิเมตร ตามลำดับและจำลองรอยความไม่ต่อเนื่องแบบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีขนาดความกว้าง 3 มิลลิเมตร ความยาว 10 มิลลิเมตร โดยรอยความไม่ต่อเนื่องเอียงเป็นมุม 45˚ 90˚ 315˚ และความกว้าง 3 มิลลิเมตร ความยาว 6 มิลลิเมตร มุม 180˚ โดยฉากรับภาพฉากรับภาพยี่ห้อ Fuji รุ่น ST-VI เป็นวิธีสำหรับการถ่ายภาพด้วยรังสีระบบดิจิตอล และฉากรับภาพแบบฟิล์มยี่ห้อ Kodak รุ่น AA400 เป็นวิธีสำหรับการถ่ายภาพด้วยรังสีชนิดฟิล์ม รังสีเอกซ์ในการทดลองอยู่ในช่วงพลังงาน 120 140 160 180 200 240 กิโลโวลต์ ค่ากระแส 3.0 มิลลิแอมป์ และตัวกรองภาพ 5 ชนิด คือ ตัวกรองความถี่ต่ำผ่าน ตัวกรองความถี่สูงผ่าน ตัวกรองความถี่สูงผ่านขั้นสูง ตัวกรองแบบแถว และตัวกรองแบบหลัก ซึ่งตัวแปรที่ทำการศึกษานั้นมีดังต่อไปนี้คือ ผลกระทบของระดับพลังงานและตัวกรองภาพในการคำนวณหาความลึกของรอยไม่ต่อเนื่องในชิ้นงานทดสอบ โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และประมวลผลดิจิตอล เพื่อแปลผลการตรวจสอบเป็นไฟล์ดิจิทัล ซึ่งผลการทดลองสรุปได้ว่าค่าความคลาดเคลื่อนของการถ่ายภาพด้วยรังสีระบบดิจิตอลมีค่าความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุดโดยการใช้ตัวกรองภาพแบบตัวกรองความถี่ต่ำผ่านมีค่าต่ำสุดและค่าสูงสุด คือ -50.65 และ 85.13 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งมีค่าความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยน้อยที่สุด และการถ่ายภาพด้วยรังสีที่มีฉากรับภาพชนิดฟิล์มดิจิทัจแบบไม่ใช้ตัวกรองมีค่าความคลาดเคลื่อนค่าต่ำสุดและค่าสูงสุด คือ -26.91 และ 105.00 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งมีค่าความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยน้อยที่สุด และจากการถ่ายภาพด้วยรังสีที่มีฉากรับภาพชนิดฟิล์มมีค่าความคลาดเคลื่อนค่าต่ำสุดและค่าสูงสุด คือ -142.54 และ -12.00 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งมีค่าความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยมากที่สุด ซึ่งผลของตัวกรองชนิดอื่นนั้นมีผลทำให้การคำนวณค่าความลึกมีค่าที่เปลี่ยนแปลงไปตามคุณลักษณะของชนิดตัวกรองนั้นๆโดยในโครงงานวิจัยฉบับนี้สามารถนำไปประยุกต์เพื่อใช้เป็นทางเลือกในการตรวจสอบของการหาค่าความลึกได้