This is a qualitative research stud

This is a qualitative research study using participatory action research. The study aims to: (1) study the roles of social institutions involved with early childhood learning enhancement; (2) study the relationship of social structure and development of the learning process; (3) promote learning guidelines in early childhood that are in accord with social structure. The sample group of 78 persons consisted of organizational representatives and parents. The research findings revealed that most people in the community engaged in agriculture but had an urban way of life; they often moved around, hardly lived together as a family, were Roman Catholic, had children who had learned to become good Christians through religious rituals, had schools than supported learning at kindergarten level, had storytelling and story reading activities, and had a sub-district health promotion hospital. The tasks in enhancing learning were to educate, promote playing activities, tell stories and read books to children in families and organizations, and hold forums to enhance learning in families. Learning enhancement in families had two characteristics: (1) learning enhancement according to way of life; and (2) learning enhancement according to way of life together with supplementary activities. With regard to the relationship with social structure, it was found that the organizations worked in accordance with their main tasks, that work integration was rare, and that organizations and parents only related through roles and duties. After learning enhancement was carried out, it was found that parents and related organizations became alert, understood their roles and adjusted these to facilitate child learning. They continuously participated in the child learning enhancement process, and relationships in families was improved.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

นี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อ: (1) ศึกษาบทบาทของสถาบันทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ปฐมวัย (2) ศึกษาความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางสังคมและการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ (3) ส่งเสริมแนวทางการเรียนรู้ในปฐมวัยที่สอดคล้องกับโครงสร้างทางสังคม กลุ่มตัวอย่าง 78 คนประกอบด้วยผู้แทนองค์กรและผู้ปกครอง ผลการศึกษาวิจัยเปิดเผยว่า คนส่วนใหญ่ในชุมชนในการเกษตร แต่มีวิถีชีวิต การเมือง มักจะเคลื่อนย้าย ไม่อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัว พวกโรมันคาทอลิก มีเด็กได้เรียนรู้การเป็น คริสเตียนดีผ่านพิธีกรรมทางศาสนา มีโรงเรียนกว่าสนับสนุนการเรียนรู้ในระดับอนุบาล storytelling และเรื่องราวที่อ่านกิจกรรม และมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในการเสริมสร้างการเรียนรู้ ส่งเสริมกิจกรรมเล่น บอกเล่าเรื่องราว และอ่านหนังสือให้เด็กในครอบครัวและองค์กร และค้างฟอรั่มเพื่อเสริมการเรียนรู้ในครอบครัวได้ เรียนเพิ่มในครอบครัวมีลักษณะที่สอง: (1) เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ตามวิถีชีวิต และ (2) ปรับปรุงเรียนรู้ตามวิถีชีวิตพร้อมกิจกรรมเสริม มันถูกค้นพบว่า องค์กรที่ทำงานตามภารกิจหลักของพวกเขา ที่ทำงานรวมหายาก และที่องค์กรและผู้ปกครองเท่านั้นที่เกี่ยวข้องผ่านบทบาทหน้าที่และตามความสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคม หลังจากปรับปรุงเรียนรู้ได้รับการดำเนิน พบว่า ผู้ปกครองและองค์กรที่เกี่ยวข้องเป็นการแจ้งเตือน เข้าใจบทบาทของตน และปรับปรุงเหล่านี้ไปช่วยเด็กที่เรียน พวกเขาเข้าร่วมในเด็กที่เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และมีการปรับปรุงความสัมพันธ์ในครอบครัว

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

นี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาบทบาทของสถ​​าบันทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย; (2) ศึกษาความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางสังคมและการพัฒนากระบวนการเรียนรู้; (3) ส่งเสริมแนวทางการเรียนรู้ในวัยเด็กที่มีความสอดคล้องกับโครงสร้างทางสังคม กลุ่มตัวอย่างจำนวน 78 คนประกอบด้วยผู้แทนองค์กรและผู้ปกครอง ผลการวิจัยพบว่าคนส่วนใหญ่ในชุมชนมีส่วนร่วมในการเกษตร แต่ทางเมืองของชีวิต พวกเขามักจะย้ายไปรอบ ๆ แทบจะไม่อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวถูกโรมันคาทอลิกได้มีเด็กที่ได้เรียนรู้ที่จะเป็นคริสเตียนที่ดีผ่านพิธีกรรมทางศาสนามีโรงเรียนกว่าการสนับสนุนการเรียนรู้ในระดับอนุบาลมีการเล่านิทานและกิจกรรมการอ่านเรื่องราวและมีย่อย อำเภอโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ งานในการเสริมสร้างการเรียนรู้ที่มีเพื่อให้ความรู้ส่งเสริมกิจกรรมเล่นบอกเล่าเรื่องราวและอ่านหนังสือให้กับเด็กในครอบครัวและองค์กรและถือฟอรั่มเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ในครอบครัว การเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนรู้ในครอบครัวที่มีสองลักษณะคือ (1) การเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ตามวิถีชีวิต; และ (2) การเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ตามวิถีชีวิตร่วมกับกิจกรรมเสริม ในเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคมพบว่าองค์กรที่ทำงานให้สอดคล้องกับภารกิจหลักของพวกเขาที่บูรณาการการทำงานเป็นที่หายากและที่องค์กรที่เกี่ยวข้องและผู้ปกครองเพียงผ่านบทบาทและหน้าที่ หลังจากที่การเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนรู้ที่ได้รับการดำเนินการพบว่าผู้ปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งเตือนกลายเป็นเข้าใจบทบาทของพวกเขาและการตั้งค่าเหล่านี้เพื่อความสะดวกในการเรียนรู้ของเด็ก พวกเขาอย่างต่อเนื่องมีส่วนร่วมในกระบวนการการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กและความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไ​​ด้รับการปรับปรุง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การศึกษาวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้การวิจัยแบบมีส่วนร่วม การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ( 1 ) ศึกษาบทบาทของสถาบันทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยการเรียนรู้ ( 2 ) ศึกษาความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางสังคมและการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ( 3 ) ส่งเสริมแนวทางการเรียนรู้ในระดับปฐมวัยที่สอดคล้องกับโครงสร้างทางสังคมกลุ่มประกอบด้วยตัวแทนจากองค์การ 78 คนและผู้ปกครอง ผลการวิจัยพบว่า คนส่วนใหญ่ในชุมชนมีส่วนร่วมในการเกษตร แต่ทางเมืองของชีวิต พวกเขามักจะย้ายไปรอบ ๆ แทบจะไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว เป็นโรมันคาทอลิก มีเด็กที่ได้เรียนรู้การเป็นคริสตชนที่ดี ผ่านพิธีกรรมทางศาสนามีโรงเรียนกว่าสนับสนุนการเรียนรู้ในระดับอนุบาล มีนิทาน และกิจกรรมการอ่านนิทานและได้ย่อยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล . งานในการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อให้ความรู้ ส่งเสริมการเล่นกิจกรรมเล่านิทานอ่านหนังสือให้เด็กในครอบครัวและองค์กร และจัดเวทีเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในครอบครัวส่งเสริมการเรียนรู้ในครอบครัวที่มีสองลักษณะ ( 1 ) การเรียนรู้ตามวิถีชีวิต และ ( 2 ) การเรียนรู้ตามวิถีชีวิตร่วมกัน ด้วยกิจกรรมเสริมหลักสูตร ส่วนความสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคม พบว่า องค์กร ทำงานตามภารกิจหลักของพวกเขาที่งานบูรณาการคือหายากและองค์กรที่เกี่ยวข้อง และพ่อแม่เท่านั้นผ่านบทบาทหน้าที่ . หลังจากการเรียนรู้ครั้งนี้ พบว่า ผู้ปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจบทบาทของตนเอง และปรับการแจ้งเตือนเหล่านี้เพื่อให้เด็กเรียนรู้ พวกเขาอย่างต่อเนื่องมีส่วนร่วมในกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก และความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ดีขึ้น