When one has attained clear percept

When one has attained clear perception, one sees the world as it really is. At this point, one is simply a spectator of the world, not an actor, since pure spirit is inert (not active, like Prakṛti).

We can compare this state of immobile omniscience to asceticism, as seen in Jain jīnas or Buddhas, or enlightened arhats or ṛṣīs.

At that point of consciousness, one who is no longer “active” is not producing karma. Thus, in an enlightened state, one observes saṃsāra (Prakṛti) without being attached to it or actively part of it.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เมื่อหนึ่งได้บรรลุการรับรู้ที่ชัดเจนและเห็นโลกเป็นมันคือเรื่องจริง ณ จุดนี้เป็นเพียงหนึ่งในผู้ชมของโลกไม่ได้เป็นนักแสดงตั้งแต่วิญญาณบริสุทธิ์เฉื่อย (ไม่ได้ใช้งานเช่น Prakrti). เราสามารถเปรียบเทียบสถานะของสัพพัญญูเคลื่อนที่นี้เพื่อบำเพ็ญตบะเท่าที่เห็นในเชนjīnasหรือพระพุทธรูปหรือ Arhats พุทธะหรือ RSIs. ณ จุดที่จิตสำนึกของคนที่ไม่ได้เป็น "งาน" ไม่สามารถผลิตกรรม ดังนั้นในรัฐพุทธะสังเกตSaṃsāra (Prakrti) โดยไม่ต้องติดอยู่กับมันอย่างแข็งขันหรือส่วนหนึ่งของมัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เมื่อมีการรับรู้ได้ชัดเจน คนนึงเห็นโลกตามที่มันเป็นจริง ณจุดนี้ เป็นเพียงแค่ผู้ชมของโลก ไม่ใช่นักแสดง ตั้งแต่วิญญาณบริสุทธิ์ก๊าซเฉื่อย ( ไม่ปราดเปรียวเหมือนผักṛ Ti )

เราสามารถเปรียบเทียบสภาพนิ่งสัพพัญญูนี้เพื่อการบําเพ็ญตบะที่เห็นเชน J ī NAS หรือพระพุทธรูป หรือพุทธะ หรือṛṣī arhats S .

ที่ ที่จุดสติคนที่ไม่มี " งาน " ไม่ใช่ผลิตกรรม ดังนั้น พุทธะ รัฐ หนึ่งสังเกตกฎอัยการศึก ( แพรกṛ Ti ) โดยไม่ถูกแนบมากับมัน หรืออย่างเป็นส่วนหนึ่งของมัน .