แนวคิดและทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ
ทฤษฎีบ ารุงเศรษฐกิจของชาติ หรือลัทธิพานิชย์นิยม (Mercantilism) เกิดขึ้น
ในช่วง ค.ศ. 1500 ที่มีการล่าอาณานิคมของประเทศมหาอ านาจในยุโรป ประเทศใหญ่ เช่น
อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ที่ได้พยายามขยายอาณานิคมการปกครองโดยการล่าเมืองขึ้นเพื่อแสวงหา
ทรัพยากรจากประเทศเหล่านี้มาเสริมความมั่งคั่งให้กับตัวเอง โดยตามทฤษฎีนี้มีจุดประสงค์หลัก
ในการบ ารุงเศรษฐกิจของชาติและรัฐบาลด้วยการสะสมโลหะที่มีค่า เช่น ทองค า แร่เงิน ในด้าน
การค้าระหว่างประเทศของยุค Mercantilism สามารถสรุปได้ว่า บ ารุงเศรษฐกิจของชาติ เป็น
แนวคิดที่ว่าการได้เปรียบดุลการค้า เป็นการที่ประเทศนั้นสามารถส่งออกได้มากกว่าการน าเข้า
และการเสียเปรียบดุลการค้า เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา (kahal, 1994,อ้างถึงใน วันรักษ์ มิ่งมณี
นาคิน, 2544, หน้า 13-14)
ทฤษฎีความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์(Theory of Absolute Advantage) (Adam
Smithอ้างถึงใน วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน, 2544, หน้า 15) ได้เขียนหนังสือ The Wealth of Nations
ซึ่งแยกการวิเคราะห์เป็น 2 ประเด็นหลัก คือ Absolute Advantage และ Division of Labor โดย
ในส่วนของ Absolute Advantage กล่าวว่าถ้าประเทศใดประเทศมีความได้เปรียบในการผลิต
ินค้าใดสินค้าหนึ่งอย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่าประเทศอื่น ก็ควรให้ประเทศนั้นผลิตสินค้านั้น
แล้วส่งไปค้าขายแลกเปลี่ยนกับประเทศอื่นเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของประสิทธิภาพรวมที่สูงที่สุดของ
โลกและส่วนของ Division of Labor ได้เข้ามาเสริมทฤษฏีAbsolute Advantage ว่าแต่ละ
ประเทศควรใช้ทรัพยากรของตนให้แก่สินค้าที่สามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดจนเกิดการ
ได้เปรียบในการแข่งขันกับผู้อื่น ซึ่งความเชี่ยวชาญเฉพาะที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจาก
1. แรงงานเกิดความช านาญในการท างานนั้นซ้ า ๆอยู่เป็นประจ า
2. แรงงานเกิดความช านาญโดยการท างานนั้นไปอีกงานหนึ่ง
3.การผลิตอย่างต่อเนื่องยาวนานจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนาหาวิธีการท างาน
มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านก่อให้เกิดความได้เปรียบ (Advantage) ซึ่งสามารถ
จ าแนกได้เป็น 2 ชนิดคือ
1. ความได้เปรียบโดยธรรมชาติ(Natural Advantage) เป็นประโยชน์ที่เกิดจากสภาพ
ภูมิอากาศทรัพยากรธรรมชาติหรือแรงงานที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ
2. ความได้เปรียบจากการเรียนรู้นอกจากทฤษฎีความได้เปรียบ ยังกล่าวถึง ขนาดของ
ประเทศหนึ่งซึ่งมีผลต่อชนิดและปริมาณของสินค้าที่จะท าการค้าขายกัน ขนาดของประเทศที่
แตกต่างกันจะมีผลต่อปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ความหลากหลายของทรัพยากร ประเทศใหญ่มีทรัพยากรหลายชนิดกระจายอยู่
ตามภาคต่าง ๆในประเทศจนแทบสามารถพึ่งพาตนเองได้หมด
2. ค่าขนส่ง ประเทศใหญ่และประเทศเล็กได้รับผลกระทบจากค่าขนส่งแตกต่างกัน
โดยทั่วไปแล้วค่าขนส่งจะแปรตามระยะทาง ประเทศใหญ่มักจะท าการค้าขายกับแหล่งตลาดที่อยู่
ใกล้จึงท าให้ค่าขนส่งต่ าราคาสินค้าก็ต่ าไปด้วย
3. ขนาดของเศรษฐกิจขนาดของประเทศมิได้บอกถึงความมั่งคั่งของประเทศ
ความร่ ารวยของประเทศวัดได้จากขนาดเศรษฐกิจและรายได้ประชาชาติที่ค่อนข้างสูง จึงควรมี
การผลิตสินค้าในปริมาณมากอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เพื่อให้เพียงพอต่อการ
อุปโภคบริโภคภายในประเทศและท าการส่งออกด้วย
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) (Ricardoอ้าง
ถึงในกตัญญู หิรัญญสมบูรณ์, 2543, หน้า14) ในปี ค.ศ. 1819 เขียนหนังสือชื่อ On the
Principles of Political and Taxation โดยพื้นฐานแนวคิดของ Adam Smith มาพัฒนาต่อเนื่อง
ออกไปว่าถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งมีความได้เปรียบในการผลิตสินค้า 2 ชนิดขึ้นไป ประเทศนั้น
ควรจะผลิตสินค่าที่ตนผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิตจากประเทศอื่น
ทฤษฎีComparative Advantage จะมีประสิทธิผลเต็มที่ภายใต้ข้อสมมุติฐานของการ
ใช้ความช านาญเฉพาะดังต่อไปนี้
1. การว่าจ้างแรงงานเต็มที่ไม่มีการว่างงาน ซึงแสดงถึงการใช้ทรัพยากรเต็มที่
ถ้ามีการว่างงานเกิดขึ้นจะมีการลดการน าเข้าลง เพื่อให้แรงงานที่ว่างงานอยู่ได้รับการว่าจ้างให้ท า
การผลิตสินค่าทดแทนการน าเข้า
2. การมุ่งวัตถุประสงค์ของประเทศ บางครั้งประเทศไทยไม่ได้มีวัตถุประสงค์
เชิงเศรษฐศาสตร์หรือต้องการก าไรสูงสุดเสมอไป นอกจากนั้นรัฐบาลได้เล็งเห็นว่าการเป็น
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษในสินค้าเฉพาะอย่างเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการขึ้นลงของ
ราคาสินค้านั้น จึงควรผลิตสินค้าที่ตนไม่ได้เปรียบด้วยเพื่อกระจายความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
3. การคิดค่าขนส่ง ไม่มีทฤษฎีใดค านึงถึงค่าขนส่งซึ่งต้องสัมพันธ์กับระยะทางที่
เคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างประเทศ ปัญหาจะเกิดขึ้นถ้าค่าขนส่งรวมกับสินค้าแล้วสูงกว่าต้นทุนที่
ประเทศผู้ซื้อผลิตเอง เพราะจะท าให้การค้าระหว่างประเทศไม่เกิดขึ้นความช านาญและการ
ได้เปรียบเฉพาะสินค้าจะหมดความหมายไปในที่สุด
ทฤษฎีComparative Advantage แตกต่างจากทฤษฎีAbsolute Advantage ตรงที่
Absolute Advantage กล่าวว่าประเทศใดสามารถใช้ทรัพยากรที่ผลิตสิ้นค้าได้อย่างมี
ประสิทธิภาพมากกว่าประเทศอื่นก็ควรผลิตสินค้าเพื่อจ าหน่ายแก่ประเทศอื่น แต่ ทฤษฎี
Comparative Advantage แสดงการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนขึ้นไปอีกโดยกล่าวถึงประเทศที่เกิดความ
ได้เปรียบในการผลิตสินค้าทั้งสองชนิดเหนือกว่าอีกประเทศหนึ่ง ควรท าการผลิตโดยใช้ความ
ได้เปรียบในสิ่งที่ตนสามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเป็นอย่างมากและให้อีก
ประเทศหนึ่งผลิตสินค้าที่ประเทศแรกผลิตแล้ว จะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเป็นส่วนน้อยแล้วทั้ง
สองประเทศจะได้ผลผลิตมากกว่าการผลิตโดยปราศจากการค้าระหว่างประเทศ
ทฤษฎีปัจจัยสัดส่วนการผลิต (Factor Proportion) ในปี ค.ศ. 1950 นัก
เศรษฐศาสตร์ชาวสวีเดน 2 คน คือ Hecksher and Ohlin (อ้างถึงใน ศรีวงศ์ สุมิตร และสาลินี วร
บัณฑูร, 2536, หน้า 12-13) ได้สร้างทฤษฎีFactor Proportion โดยเน้นไปที่ปัจจัยการผลิต คือ
ที่ดิน แรงงานและทุน แทน โดยกล่าวว่าแต่ละประเทศมีปัจจัยการผลิตที่แตกต่างกันไป ประเทศใด
ก็ตามที่มีแรงงานมากเมื่อเทียบกับที่ดินและแรงงาน ก็จะส่งผลให้ต้นทุนด้านแรงงานถูกลง ทาง
ตรงกันข้ามต้นทุนด้านและทุนก็จะสูง ดังนั้น แต่ละประเทศก็ควรผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตใน
ประเทศที่มีอยู่มาก หาได้ง่ายและต้นทุนไม่สูง ผลิตสินค้าส่งออกไปจ าหน่ายต่างประเทศ
ทฤษฎีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์และการลงทุนระหว่างประเทศ (International
Investmentand Product Life Cycle) (วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน, 2544, หน้า 16-17) ในปีค.ศ. 1996
โดยเน้นถึงตัวสินค้ามากกว่าประเทศหร