“ช่างสำราญ” เป็นนวนิยายที่เรียบง่ายแต่สวยงาม มีเนื้อเรื่องยาวซึ่งแบ่งเป็นตอนสั้นๆ ที่สามารถรักษาเอกภาพได้อย่างดี เนื้อเรื่องแสดงภาพชีวิตของเด็กบ้านแตกวัยห้าขวบ คือ เด็กชายกำพล ช่างสำราญ ที่ทำให้ผู้อ่านต้องคาดเดาว่าชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร นวนิยายเริ่มจากการเปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ที่รุนแรง ทั้งการกล่าวถึงแม่ที่มีชู้ และพ่อที่ไม่มีเงินเช่าบ้านจนต้องหอบหิ้วเด็กชายกำพลไปอาศัยในสังคมใหม่ ที่ซึ่งชาวบ้านชอบยุ่งเรื่องของเพื่อนบ้าน ดังนั้นเนื้อหาของเรื่องส่วนหนึ่งจึงเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ชาวบ้านที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของเพื่อนบ้าน ซึ่งลักษณะนี้เป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมของไทย ที่แม้ชาวบ้านจะชอบสอดรู้สอดเห็น แต่ก็แฝงไปด้วยความเอื้ออาทรที่มีต่อเด็กชายคนนี้ นับว่าชีวิตของเด็กชายกำพลได้รับการหล่อเลี้ยงจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมและความเอื้ออาทรในหมู่ชาวบ้านโดยแท้ ทุกคนในชุมชนต่างพร้อมใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือเด็กชายบ้านแตกคนนี้ให้มีที่หลับที่นอนและที่กินเพื่อชีวิตได้หายใจต่อไป เด็กชายกำพลเปลี่ยนบ้านนอนไปเรื่อยๆแล้วแต่ใครจะชวน กินอาหารบ้านที่มีคนเรียก มีเพื่อนๆที่เล่นด้วยกัน มีเรื่องราวมากมายของคนในชุมชนให้ร่วมรับรู้ มีโรงเรียนให้ไป ชีวิตของกำพลอาจต้องเจอเรื่องราวอันแสนโหดร้ายต่อชีวิตเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปมด้อย เขาอาจจะมีความน้อยเนื้อต่ำใจและความเหงาอยู่บ้าง แต่ในชุมชนแห่งนี้ มิตรภาพและความเอื้ออาทรกลับทำให้ชีวิตยังสามารถดำเนินต่อไปได้เป็นอย่างดี “ช่างสำราญ” มีทั้งความสนุก ชวนติดตาม และความตลกที่อาจจะหัวเราะไม่ออกเพราะแฝงด้วยความน่าสะเทือนใจ ผู้เล่าเรื่องอยู่ในลักษณะผู้สังเกตการณ์ ทำให้สามารถมองเห็นอารมณ์เศร้าของเด็ก และการผ่อนคลายอารมณ์เศร้าสะเทือนใจของเขา แม้มีเด็กชายกำพลจะมีโชคชะตาที่เลวร้าย แต่ “ช่างสำราญ” ได้สะท้อนมุมของความหวังซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำใจและความเอื้ออาทรยังคงหลงเหลืออยู่ในสังคมไทยและเป็นสิ่งที่เกื้อกูลผู้คนพร้อมกับจรรโลงสังคมไปพร้อมๆ กัน