Aims and objectives. The aim of thi

Aims and objectives. The aim of this study was to assess the effect of a supportive
educational intervention developed based on the Orem’s self-care theory on the
self-care ability of patients with myocardial infarction.
Background. Patients with cardiovascular disease suffer from the lack of knowledge
about the disease and consequently are not able to fulfil their own self-care needs.
Design. This was a randomised controlled trial conducted in 2012.
Methods. We recruited a random sample of 66 patients with myocardial infarction
who had been recently discharged from coronary care unit. The study setting
was two university hospitals located in Khorasan, Iran. Patients were randomly
allocated to either the experimental or the control groups. Patients in the experimental
group received education, support, and counselling while patients in the
control group received no intervention. We employed a demographic questionnaire
and the Myocardial Infarction Self-Care Ability Questionnaire for data
collection and SPSS version 16.00 for data analysis.
Findings. After the study, patients in the experimental group had higher levels of
self-care knowledge, motivation and skills compared to the prestudy readings and
the control group.
Conclusion. The supportive educational intervention developed based on the
Orem’s self-care theory can improve nonhospitalised patients’ self-care ability and
positively affect public health outcomes. Consequently, using the developed programme
for providing follow-up care to nonhospitalised patients is recommended.
Relevance to clinical practice. Having the ability to develop caring systems based
on the nursing theories is a prerequisite to standard nursing practice. Identifying
patients’ educational needs is a fundamental prerequisite to patient education.
Our findings revealed that the supportive educational intervention developed
based on the Orem’s self-care theory can help health care providers identify and
fulfil patients’ self-care needs.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เป้าหมายและจุดประสงค์ จุดมุ่งหมายของการศึกษานี้คือการ ประเมินผลของการให้การสนับสนุนแทรกแซงการศึกษาพัฒนาพื้นฐานทฤษฎีการดูแลตนเองของ Orem บนสามารถดูแลตนเองของผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อหัวใจตายพื้นหลัง ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ทุกข์ทรมานจากการขาดความรู้เกี่ยวกับโรคและจึง ไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของตนเองดูแลตนเองการออกแบบ นี้เป็นการสุ่มทดลองดำเนินการในปี 2555วิธีการ เราคัดเลือกตัวอย่างสุ่มของผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตาย 66ที่ได้รับเมื่อเร็ว ๆ นี้พลังงานจากหน่วยดูแลหัวใจ การตั้งค่าการศึกษาเป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสองที่ตั้งอยู่ในโค อิหร่าน ผู้ป่วยถูกสุ่มจัดสรรเพื่อการทดลองหรือกลุ่มควบคุม ผู้ป่วยในการทดลองกลุ่มที่ได้รับการศึกษา สนับสนุน และให้คำปรึกษาในขณะที่ผู้ป่วยในการกลุ่มควบคุมได้รับแทรกแซงไม่ เราใช้แบบสอบถามประชากรและแบบสอบ ถามความสามารถในการดูแลตนเองของกล้ามเนื้อหัวใจตายสำหรับข้อมูลคอลเลกชันและ SPSS รุ่น 16.00 น.สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลผลการวิจัย หลังการศึกษา ผู้ป่วยในกลุ่มทดลองที่มีระดับสูงของความรู้ดูแลตนเอง แรงจูงใจ และทักษะการเปรียบเทียบกับการอ่าน prestudy และกลุ่มควบคุมสรุป การแทรกแซงการศึกษาสนับสนุนพัฒนาตามทฤษฎีการดูแลตนเองของ Orem สามารถปรับปรุงความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย nonhospitalised และบวกมีผลต่อสุขภาพประชาชน ดังนั้น การใช้โปรแกรมพัฒนาสำหรับการดูแลติดตามผู้ป่วย nonhospitalised ที่แนะนำความเกี่ยวข้องกับคลินิก มีความสามารถในการพัฒนาดูแลระบบคะแนนบนทฤษฎีการพยาบาลที่จำเป็นในการปฏิบัติพยาบาลที่มาตรฐานได้ การระบุการศึกษาของผู้ป่วยที่จำเป็นพื้นฐานในการศึกษาผู้ป่วยได้ผลการวิจัยของเราเปิดเผยว่า การแทรกแซงการศึกษาสนับสนุนพัฒนาใช้ในการดูแลตนเองของ Orem ทฤษฎีสามารถช่วยระบุผู้ให้บริการสุขภาพ และตอบสนองความต้องการการดูแลตนเองของผู้ป่วย

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายของการศึกษาครั้งนี้คือการประเมินผลของสนับสนุนและ
การแทรกแซงการศึกษาที่พัฒนาบนพื้นฐานของทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเรมใน
ความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตาย.
พื้นหลัง ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดประสบจากการขาดความรู้
เกี่ยวกับโรคและจึงไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของตัวเองในการดูแลตนเอง.
ออกแบบ นี้ได้รับการสุ่มทดลองดำเนินการในปี 2012
วิธีการ เราได้รับคัดเลือกเป็นตัวอย่างที่สุ่มจากผู้ป่วย 66 ห้องพร้อมด้วยกล้ามเนื้อหัวใจตาย
ที่ได้รับการปล่อยออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้จากหน่วยดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ การตั้งค่าการศึกษา
ได้รับการโรงพยาบาลสองแห่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย Khorasan อิหร่าน ผู้ป่วยได้รับการสุ่ม
จัดสรรให้กับทั้งการทดลองหรือกลุ่มควบคุม ผู้ป่วยในการทดลอง
กลุ่มได้รับการศึกษาการสนับสนุนและการให้คำปรึกษาในขณะที่ผู้ป่วยใน
กลุ่มควบคุมที่ได้รับไม่มีการแทรกแซง เราเป็นแบบสอบถามประชากรศาสตร์
และกล้ามเนื้อหัวใจตายการดูแลตนเองความสามารถในแบบสอบถามข้อมูล
การเก็บเงินและ SPSS รุ่น 16.00 สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล.
ผลการวิจัย หลังจากการศึกษาผู้ป่วยในกลุ่มทดลองมีระดับที่สูงขึ้นของ
ความรู้ในการดูแลตนเองแรงจูงใจและทักษะเมื่อเทียบกับการอ่าน prestudy และ
กลุ่มควบคุม.
สรุป การแทรกแซงการศึกษาสนับสนุนการพัฒนาบนพื้นฐานของ
ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเรมสามารถปรับปรุงความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย nonhospitalised และ
บวกส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ด้านสุขภาพของประชาชน ดังนั้นการใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น
สำหรับการให้การดูแลติดตามให้แก่ผู้ป่วย nonhospitalised ขอแนะนำ.
ความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางคลินิก มีความสามารถในการพัฒนาระบบการดูแลตาม
ทฤษฎีการพยาบาลเป็นสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติการพยาบาลมาตรฐาน ระบุ
ผู้ป่วยที่ต้องการการศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นพื้นฐานในการศึกษาผู้ป่วย.
ผลการวิจัยของเราพบว่ามีการแทรกแซงการศึกษาสนับสนุนการพัฒนา
บนพื้นฐานของทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเรมสามารถช่วยให้การดูแลสุขภาพการระบุและการ
ตอบสนองของผู้ป่วยต้องการการดูแลตัวเอง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

มีจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายของการศึกษานี้คือ เพื่อศึกษาผลของการสนับสนุนการแทรกแซงการศึกษาการพัฒนาบนพื้นฐานของแนวคิดการดูแลตนเองของโอเรมในความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดพื้นหลัง ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ประสบจากการขาดความรู้เกี่ยวกับโรคและจึงไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการการดูแลตนเอง .การออกแบบ นี้คือโรทดลองดำเนินการใน 2012วิธีการ เราคัดเลือกแบบสุ่มของ 66 ผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล จากหน่วยดูแลหัวใจ . ศึกษาการตั้งค่าสองโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ใน Khorasan อิหร่าน ผู้ป่วยที่ถูกสุ่มจัดสรรให้ทดลองหรือกลุ่มควบคุม ในช่วงทดลองกลุ่มที่ได้รับการศึกษา การสนับสนุน และการให้คำปรึกษา ในขณะที่ผู้ป่วยในกลุ่มควบคุมได้รับ ไม่มีการแทรกแซง เราใช้แบบสอบถามความสามารถในการดูแลตนเองและกล้ามเนื้อหัวใจตาย แบบสอบถามข้อมูลคอลเลกชันรุ่น 16.00 และ SPSS เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง ผู้ป่วยกลุ่มทดลอง สูงกว่าระดับความรู้ในการดูแลตนเอง แรงจูงใจ และทักษะการอ่านและ prestudy เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมสรุป การแทรกแซงการศึกษาสนับสนุนการพัฒนาตามทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร nonhospitalised สามารถปรับปรุงความสามารถในการดูแลตนเอง และผู้ป่วยผลเชิงบวกต่อสุขภาพของประชาชน ดังนั้น การใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสำหรับการให้การดูแลติดตามผู้ป่วย nonhospitalised แนะนําที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางคลินิก มีความสามารถในการพัฒนาระบบการดูแลตามในทฤษฎีทางการพยาบาลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการปฏิบัติการพยาบาลตามมาตรฐาน ระบุการศึกษาความต้องการของผู้ป่วยเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการศึกษาผู้ป่วยผลการศึกษาของเราพบว่าสนับสนุนการแทรกแซงการพัฒนาตามทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเรมสามารถช่วยให้ผู้ให้บริการสุขภาพที่ระบุและตอบสนองความต้องการการดูแลตนเองของผู้ป่วย .