หุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีแพ้พิษน้ำมันถูก
ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ประเมินราคาน้ำมันลดลง กระทบกำไรกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีปีนี้หายกว่า 40,000 ล้านบาท แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ (บจ.) ปีนี้ยังโตได้ 15% จากฐานปีก่อนที่ต่ำ ขณะที่หั่นดัชนีเป้าหมายลงเหลือ 1,670 จุด แนะรัฐเร่งแก้ทำ 3 อย่าง เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุน
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส และอุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนและผลกระทบราคาน้ำมันที่ลดลง โดยพบว่าราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงกว่า 50% ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่ประเมินว่ากลุ่มพลังงานกำไรสุทธิจะลดลง 39,000 ล้านบาทในปี 2558 ส่วนปี 2557 พบว่ากำไรสุทธิลดลง 15,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 7,900 ล้านบาท ในปี 2557 และลดลงอีก 4,900 ล้านบาท ในปี 2558
ขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง คือ กลุ่มค้าส่งค้าปลีก (อุปโภคบริโภค) ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิปี 2558 จะเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ลดลง 904 ล้านบาท และกลุ่มขนส่งคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 868 ล้านบาท และสถาบันการเงินรายย่อยกำไรเพิ่มขึ้น 491 ล้านบาท แต่กำไรที่เกิดขึ้นในธุรกิจเหล่านี้ไม่สามารถชดเชยได้ เพราะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี มีสัดส่วนของกำไรสุทธิและมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงถึง 30% ของตลาดโดยรวม ทำให้ภาพรวมของกำไรสุทธิต่อหุ้นเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 107 บาทต่อหุ้น เป็นการลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน ที่มองว่ากำไรจะอยู่ที่ 111 บาทต่อหุ้น แต่ก็ถือว่ากำไรโดยรวมยังมีการเติบโตจากปี 2557 ถึง 15% เนื่องจากฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2557 อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 66.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และในปี 2559 คาดว่าจะอยู่ที่ 71.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์ยังประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยปี 2558 จะอยู่ที่ 1,670 จุด โดยลดลงเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อนที่ 1,698 จุด โดยปัจจัยเสี่ยงที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญ คือ ปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะการปรับ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯและอังกฤษ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาด และทำให้ภาคการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ส่วนปัจจัยบวกที่ยังคงให้น้ำหนัก คือ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลและการขยายตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งมีปัจจัยใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรปที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติม ขณะที่นักวิเคราะห์ได้ปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย หรือ GDP Growth ในปี 2558 เหลือ 3.8% จากเดิม 4.3% ส่วนในปี 2557 ปรับลงเหลือ 0.9% จากเดิม 1.6% เนื่องจากเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
นางภรณียังเปิดเผยด้วยว่า นักวิเคราะห์มีข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งทำ 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นไปตามกำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม และ 3.แก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง.
หุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีแพ้พิษน้ำมันถูกผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ประเมินราคาน้ำมันลดลงกระทบกำไรกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีปีนี้หายกว่า 40000 ล้านบาทแต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ปีนี้ยังโตได้ 15% จากฐานปีก่อนที่ต่ำขณะที่หั่นดัชนีเป้าหมายลงเหลือ 1,670 จุดแนะรัฐเร่งแก้ทำ 3 เชิงแบบอย่างทางเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุนนางภรณีทองเย็นรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัสและอุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนเปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนและผลกระทบราคาน้ำมันที่ลดลงโดยพบว่าราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงกว่าได้ส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน 50 โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่ประเมินว่ากลุ่มพลังงานกำไรสุทธิจะลดลง 39,000 ล้านบาทในปี 2558 ส่วนปี 2557 พบว่ากำไรสุทธิลดลง 15000 ล้านบาทส่วนกลุ่มปิโตรเคมีคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 7,900 ล้านบาทในปี 2557 และลดลงอีก 4,900 ล้านบาทในปี 2558ขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลงคือกลุ่มค้าส่งค้าปลีก (อุปโภคบริโภค) ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิปี 2558 จะเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ลดลง 904 ล้านบาทและกลุ่มขนส่งคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 868 ล้านบาทและสถาบันการเงินรายย่อยกำไรเพิ่มขึ้น 491 ล้านบาทแต่กำไรที่เกิดขึ้นในธุรกิจเหล่านี้ไม่สามารถชดเชยได้เพราะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีสัดส่วนของกำไรสุทธิและมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงถึงของตลาดโดยรวม 30% ทำให้ภาพรวมของกำไรสุทธิต่อหุ้นเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 107 บาทต่อหุ้นเป็นการลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่มองว่ากำไรจะอยู่ที่ 111 บาทต่อหุ้นแต่ก็ถือว่ากำไรโดยรวมยังมีการเติบโตจากปี 2557 ถึง 15% เนื่องจากฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2557 อยู่ในระดับต่ำทั้งนี้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 66.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลและในปี 2559 คาดว่าจะอยู่ที่ 71.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลทั้งนี้ผลสำรวจนักวิเคราะห์ยังประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยปี 2558 จะอยู่ที่ 1,670 จุดโดยลดลงเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อนที่ 1,698 จุดโดยปัจจัยเสี่ยงที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญคือปัจจัยต่างประเทศโดยเฉพาะการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯและอังกฤษขณะที่เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาดและทำให้ภาคการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวส่วนปัจจัยบวกที่ยังคงให้น้ำหนักคือการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลและการขยายตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนรวมทั้งมีปัจจัยใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรปที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติมขณะที่นักวิเคราะห์ได้ปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหรือ GDP เติบโตในปี 2558 เหลือ 3.8% จากเดิมส่วนในปี 4.3% 2557 ปรับลงเหลือ 0.9% จากเดิม 1.6% เนื่องจากเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดนางภรณียังเปิดเผยด้วยว่านักวิเคราะห์มีข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งทำ 3 เรื่องสำคัญคือ 1.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นไปตามกำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม และ 3.แก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
การแปล กรุณารอสักครู่..

หุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีแพ้พิษน้ำมันถูก
ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ประเมินราคาน้ำมันลดลง กระทบกำไรกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีปีนี้หายกว่า 40,000 ล้านบาท แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ (บจ.) ปีนี้ยังโตได้ 15% จากฐานปีก่อนที่ต่ำ ขณะที่หั่นดัชนีเป้าหมายลงเหลือ 1,670 จุด แนะรัฐเร่งแก้ทำ 3 อย่าง เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุน
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส และอุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนและผลกระทบราคาน้ำมันที่ลดลง โดยพบว่าราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงกว่า 50% ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่ประเมินว่ากลุ่มพลังงานกำไรสุทธิจะลดลง 39,000 ล้านบาทในปี 2558 ส่วนปี 2557 พบว่ากำไรสุทธิลดลง 15,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 7,900 ล้านบาท ในปี 2557 และลดลงอีก 4,900 ล้านบาท ในปี 2558
ขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง คือ กลุ่มค้าส่งค้าปลีก (อุปโภคบริโภค) ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิปี 2558 จะเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ลดลง 904 ล้านบาท และกลุ่มขนส่งคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 868 ล้านบาท และสถาบันการเงินรายย่อยกำไรเพิ่มขึ้น 491 ล้านบาท แต่กำไรที่เกิดขึ้นในธุรกิจเหล่านี้ไม่สามารถชดเชยได้ เพราะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี มีสัดส่วนของกำไรสุทธิและมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงถึง 30% ของตลาดโดยรวม ทำให้ภาพรวมของกำไรสุทธิต่อหุ้นเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 107 บาทต่อหุ้น เป็นการลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน ที่มองว่ากำไรจะอยู่ที่ 111 บาทต่อหุ้น แต่ก็ถือว่ากำไรโดยรวมยังมีการเติบโตจากปี 2557 ถึง 15% เนื่องจากฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2557 อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 66.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และในปี 2559 คาดว่าจะอยู่ที่ 71.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์ยังประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยปี 2558 จะอยู่ที่ 1,670 จุด โดยลดลงเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อนที่ 1,698 จุด โดยปัจจัยเสี่ยงที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญ คือ ปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะการปรับ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯและอังกฤษ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาด และทำให้ภาคการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ส่วนปัจจัยบวกที่ยังคงให้น้ำหนัก คือ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลและการขยายตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งมีปัจจัยใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรปที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติม ขณะที่นักวิเคราะห์ได้ปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย หรือ GDP Growth ในปี 2558 เหลือ 3.8% จากเดิม 4.3% ส่วนในปี 2557 ปรับลงเหลือ 0.9% จากเดิม 1.6% เนื่องจากเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
นางภรณียังเปิดเผยด้วยว่า นักวิเคราะห์มีข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งทำ 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นไปตามกำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม และ 3.แก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง.
การแปล กรุณารอสักครู่..
