นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวกับการลงทุนของเอกชนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน
จากนโยบายของรัฐบาลในการเชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการสัมปทานทางหลวงลักษณะ BTO (Build-Transfer-Operate) เพื่อแก้ไขปัญหาความหนาแน่นของปริมาณการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง จัดหาทุนและกู้เงินมาลงทุนทั้งหมด เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของภาครัฐที่มีอยู่อย่างจำกัด ณ ขณะนั้น ในขณะที่ภาคเอกชนที่มาลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมในการลงทุนดังกล่าว
โครงการส่วนเริ่มต้น
ในเดือนสิงหาคม 2532 บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาสัมปทานโครงการก่อสร้างทางยกระดับจากกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่กิโลเมตรที่ กม. 5+700 บริเวณดินแดง ถึง กม. 21+100 บริเวณดอนเมือง ระยะทางประมาณ 15.4 กิโลเมตร จำนวน 6 - 8 ช่องจราจร หรือเรียกว่า “โครงการส่วนเริ่มต้น“ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดอย่างมากบนถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการระบายจราจรเข้า-ออกจากกรุงเทพมหานคร จากภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเป็นเส้นทางหลักไปสู่สนามบินดอนเมือง ซึ่งเป็นสนามบินหลักระหว่างประเทศแห่งเดียวของกรุงเทพมหานคร ณ ขณะนั้น ทั้งนี้ โครงการส่วนเริ่มต้นได้เปิดให้ประชาชนใช้สัญจรอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2537
โครงการส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ
หลังจากที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการก่อสร้าง “โครงการส่วนเริ่มต้น“ แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2537 บริษัทฯ ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง ชื่อบริษัทฯ และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด โดยเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) และบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติให้บริษัทฯ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสัมปทางทางหลวงจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จึงมีการลงนามบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานทางหลวงฉบับที่ 1/2538 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2538) ต่อมารัฐบาลมีความประสงค์ให้บริษัทฯ ขยายเส้นทางออกไปทางเหนือถึง กม. 26+700 เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรแออัดบริเวณหน้าสนามบินดอนเมือง ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายว่าการขยายโครงการออกไปทางทิศเหนือจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้จัดหาแหล่งเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนระยะยาวจำนวน 8,500 ล้านบาท เพื่อมาใช้คืนหนี้ของเจ้าหนี้เดิม ปรับปรุงอัตราค่าผ่านทาง ขยายอายุสัมปทานจากปี 2557 ถึงปี 2564 และกระทรวงการคลังเข้ามาลงทุนในบริษัทฯ จำนวน 3,000 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทฯ จึงสามารถขยายโครงการดังกล่าวได้และมีการลงนามบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานทางหลวงฉบับที่ 2/2539 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 บริษัทฯ จึงได้ทำการก่อสร้างทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือระหว่าง กม. 21+100 ที่ดอนเมือง ถึง กม.26+700 ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ต่อจาก “โครงการส่วนเริ่มต้น“ อีกประมาณ 5.6 กิโลเมตร หรือเรียกว่า “โครงการส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ“ ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการในปี 2542
การปรับปรุงเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานครั้งที่ 3 ในปี 2550
ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2540-2550 บริษัทฯ ได้ทำการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเงินอันเป็นผลมาจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานจากทางภาครัฐ ทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างรุนแรงและมีผลประกอบการที่ขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการ โดยบริษัทฯ มีผลขาดทุนสะสมสูงสุดในปี 2549 จำนวน 5,601 ล้านบาท จนทำให้บริษัทฯ ได้เข้าสู่กระบวนการเจรจาเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้กับกลุ่มเจ้าหนี้สถาบันการเงินและกลุ่มเจ้าหนี้ผู้รับเหมาก่อสร้างหลายครั้งในช่วงระหว่างปี 2541-2551 รวมถึงการเจรจากับภาครัฐตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อบริษัทฯ โดยไม่ต้องนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการทางศาล จนในที่สุดบริษัทฯ สามารถบรรลุข้อตกลงและได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานฉบับ 3/2550 ลงวันที่ 12 กันยายน 2550 โดยมีเงื่อนไขที่ได้รับการปรับปรุงที่สำคัญ ได้แก่ การปรับอัตราราคาค่าผ่านทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามสัญญาสัมปทานโดยไม่ต้องขออนุมัติ และได้รับการขยายอายุสัมปทานจนไปสิ้นสุดวันที่ 11 กันยายน 2577 จนทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ เริ่มฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงการนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างทางการเงินในหลายด้าน เช่น ผู้ร่วมลงทุนใหม่ (Strategic Partner) การเจรจาจัดหาแหล่งเงินกู้ใหม่ การออกหุ้นกู้ และการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำหุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามลำดับ
โครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ
สายผลิตภัณฑ์/กลุ่มธุรกิจ ปี 2557 % ปี 2556 % ปี 2555 % ปี 2554 % ปี 2553 %
รายได้ค่าผ่านทาง 2,133 97.2 2,028 98.6 1,791 98.6 1,558 99.1 1,510 99.4
รายได้ดอกเบี้ย 20 0.9 27 1.3 18 1.0 10 0.6 5 0.3
รายได้อื่น 42 1.9 1 0.1 8 0.4 4 0.3 4 0.3
รวม 2,195 100.0 2,056 100.0 1,817 100.0 1,572 100.0 1,519 100.0
นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวกับการลงทุนของเอกชนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานจากนโยบายของรัฐบาลในการเชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการสัมปทานทางหลวงลักษณะ BTO (สร้างโอนดำเนินงาน) เพื่อแก้ไขปัญหาความหนาแน่นของปริมาณการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิตโดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ออกแบบก่อสร้างจัดหาทุนและกู้เงินมาลงทุนทั้งหมดเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของภาครัฐที่มีอยู่อย่างจำกัดณขณะนั้นในขณะที่ภาคเอกชนที่มาลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมในการลงทุนดังกล่าวโครงการส่วนเริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2532 บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาสัมปทานโครงการก่อสร้างทางยกระดับจากกรมทางหลวงกระทรวงคมนาคมตั้งแต่กิโลเมตรที่กม บริเวณดินแดง 5 + 700 ถึงกม 21 + 100 บริเวณดอนเมืองระยะทางประมาณ 15.4 กิโลเมตรจำนวน 6-8 ช่องจราจรหรือเรียกว่า "โครงการส่วนเริ่มต้น" เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดอย่างมากบนถนนวิภาวดีรังสิตซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการระบายจราจรเข้าออกจากกรุงเทพมหานครจากภาคกลางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งเป็นเส้นทางหลักไปสู่สนามบินดอนเมืองซึ่งเป็นสนามบินหลักระหว่างประเทศแห่งเดียวของกรุงเทพมหานครณขณะนั้นทั้งนี้โครงการส่วนเริ่มต้นได้เปิดให้ประชาชนใช้สัญจรอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม ๒๕๓๗โครงการส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือหลังจากที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการก่อสร้าง “โครงการส่วนเริ่มต้น“ แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2537 บริษัทฯ ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง ชื่อบริษัทฯ และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด โดยเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) และบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติให้บริษัทฯ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสัมปทางทางหลวงจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จึงมีการลงนามบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานทางหลวงฉบับที่ 1/2538 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2538) ต่อมารัฐบาลมีความประสงค์ให้บริษัทฯ ขยายเส้นทางออกไปทางเหนือถึง กม. 26+700 เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรแออัดบริเวณหน้าสนามบินดอนเมือง ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายว่าการขยายโครงการออกไปทางทิศเหนือจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้จัดหาแหล่งเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนระยะยาวจำนวน 8,500 ล้านบาท เพื่อมาใช้คืนหนี้ของเจ้าหนี้เดิม ปรับปรุงอัตราค่าผ่านทาง ขยายอายุสัมปทานจากปี 2557 ถึงปี 2564 และกระทรวงการคลังเข้ามาลงทุนในบริษัทฯ จำนวน 3,000 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทฯ จึงสามารถขยายโครงการดังกล่าวได้และมีการลงนามบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานทางหลวงฉบับที่ 2/2539 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 บริษัทฯ จึงได้ทำการก่อสร้างทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือระหว่าง กม. 21+100 ที่ดอนเมือง ถึง กม.26+700 ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ต่อจาก “โครงการส่วนเริ่มต้น“ อีกประมาณ 5.6 กิโลเมตร หรือเรียกว่า “โครงการส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ“ ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการในปี 2542ในปีการปรับปรุงเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานครั้งที่ 3 2550ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2540-2550 บริษัทฯ ได้ทำการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเงินอันเป็นผลมาจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานจากทางภาครัฐ ทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างรุนแรงและมีผลประกอบการที่ขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการ โดยบริษัทฯ มีผลขาดทุนสะสมสูงสุดในปี 2549 จำนวน 5,601 ล้านบาท จนทำให้บริษัทฯ ได้เข้าสู่กระบวนการเจรจาเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้กับกลุ่มเจ้าหนี้สถาบันการเงินและกลุ่มเจ้าหนี้ผู้รับเหมาก่อสร้างหลายครั้งในช่วงระหว่างปี 2541-2551 รวมถึงการเจรจากับภาครัฐตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อบริษัทฯ โดยไม่ต้องนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการทางศาล จนในที่สุดบริษัทฯ สามารถบรรลุข้อตกลงและได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานฉบับ 3/2550 ลงวันที่ 12 กันยายน 2550 โดยมีเงื่อนไขที่ได้รับการปรับปรุงที่สำคัญ ได้แก่ การปรับอัตราราคาค่าผ่านทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามสัญญาสัมปทานโดยไม่ต้องขออนุมัติ และได้รับการขยายอายุสัมปทานจนไปสิ้นสุดวันที่ 11 กันยายน 2577 จนทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ เริ่มฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงการนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างทางการเงินในหลายด้าน เช่น ผู้ร่วมลงทุนใหม่ (Strategic Partner) การเจรจาจัดหาแหล่งเงินกู้ใหม่ การออกหุ้นกู้ และการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำหุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามลำดับโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯสายผลิตภัณฑ์/กลุ่มธุรกิจปีปี 2557% 2556% ปี 2555% ปี ๒๕๕๔%ปี 2553%รายได้ค่าผ่านทาง 2,133 97.2 2,028 98.6 1,791 98.6 1,558 99.1 1,510 99.4รายได้ดอกเบี้ย 20 0.9 27 1.3 18 1.0 10 0.6 5 0.3รายได้อื่น 42 1.9 1 0.1 8 0.4 4 0.3 4 0.3รวม 2,195 100.0 2,056 100.0 1,817 100.0 1,572 100.0 1,519 100.0
การแปล กรุณารอสักครู่..

BTO (Build-Transfer-Operate) โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ออกแบบก่อสร้างจัดหาทุนและกู้เงินมาลงทุนทั้งหมด ณ ขณะนั้น 2532 บริษัท ฯ กระทรวงคมนาคมตั้งแต่กิโลเมตรที่กม 5 + 700 บริเวณดินแดงถึงกม 21 + 100 บริเวณดอนเมืองระยะทางประมาณ 15.4 กิโลเมตรจำนวน 6-8 ช่องจราจรหรือเรียกว่า "โครงการส่วนเริ่มต้น" จากภาคกลางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ขณะนั้นทั้งนี้ 14 ธันวาคม ได้ดำเนินการก่อสร้าง "โครงการส่วนเริ่มต้น" แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2537 บริษัท ฯ ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อ บริษัท ฯ และแปรสภาพเป็น บริษัท มหาชน จำกัด โดยเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ฯ ได้ รับการอนุมัติให้ บริษัท ฯ 1/2538 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2538) ขยายเส้นทางออกไปทางเหนือถึงกม 26 + 700 ดังนั้น 8,500 ล้านบาทเพื่อมาใช้คืนหนี้ของเจ้าหนี้เดิมปรับปรุงอัตราค่าผ่านทางขยายอายุสัมปทานจากปี 2557 ถึงปี 2564 จำนวน 3,000 ล้านบาทดังนั้น บริษัท ฯ 2/2539 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 บริษัท ฯ กม 21 + 100 ที่ดอนเมืองถึงกม. 26 + 700 ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติต่อจาก "โครงการส่วนเริ่มต้น" อีกประมาณ 5.6 กิโลเมตรหรือเรียกว่า "โครงการส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ" 3 ในปี 2550 ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2540-2550 บริษัท ฯ ทำให้ บริษัท ฯ โดย บริษัท ฯ มีผลขาดทุนสะสมสูงสุดในปี 2549 จำนวน 5,601 ล้านบาทจนทำให้ บริษัท ฯ 2541-2551 จนในที่สุด บริษัท ฯ 3/2550 ลงวันที่ 12 กันยายน 2550 ได้แก่ 11 กันยายน 2577 จนทำให้ฐานะทางการเงินของ บริษัท ฯ เริ่มฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ เช่นผู้ร่วมลงทุนใหม่ (พันธมิตรเชิงกลยุทธ์) การเจรจาจัดหาแหล่งเงินกู้ใหม่การออกหุ้นกู้ ปี 2557 ปี 2556%%% ปี 2555 ปี 2554 ปี 2553%% รายได้ค่าผ่านทาง 2,133 97.2 2,028 98.6 1,791 98.6 1,558 99.1 1,510 99.4 รายได้ดอกเบี้ย 20 0.9 27 1.3 18 1.0 10 0.6 5 0.3 รายได้อื่น 42 1.9 1 0.1 8 0.4 4 0.3 4 0.3 รวม 2,195 100.0 100.0 2056 1817 1572 100.0 100.0 100.0 1519
การแปล กรุณารอสักครู่..
