Incubation temperature is one of th

Incubation temperature is one of the most important physical factors determining or influencing chicken embryo development and hatchability (Decuypere and Michels 1992). Manipulation of incubation temperature is known to have an influence on both embryonic development and the hatching process. However, the magnitude and direction of this influence is largely dependent on the period during incubation and the frequency, duration, and amplitude of temperature manipulation. A recent study by Willemsen et al. (2010) reported profound differential effects from continuous temperature manipulations of 3°C lower or higher than the standard incubation temperature during late incubation [embryonic day (E) 16 to E18.5] on embryonic development, metabolism, and the hatching process. The high continuous temperature treatment resulted in a slower embryonic development and significantly reduced carbohydrate and lipid metabolism. Moreover, this significantly reduced growth and metabolic level led to a serious retardation in the hatching process and decreased hatchability. It is striking that embryos treated with an incubation temperature 3°C lower than the standard incubation temperature during the same period showed little difficulty in handling the treatment except for the delayed start of the hatching process. Many studies have already focused on intermittent temperature manipulation during late incubation, ranging from 3 to 12 h/d and deviating 1 to 2°C from the standard incubation temperature (Moraes et al., 2003; Yalçin and Siegel, 2003; Collin et al., 2005, 2007; Yalçin et al., 2005, 2008; Piestun et al., 2008, 2009). However, studies investigating temperatures lower than the standard incubation temperature are limited (Suarez et al., 1996; Piestun et al., 2009). In addition, most of these studies report only the effects of temperature manipulation on chick weight at hatch and on hatchability, but the effect on embryonic metabolism, particularly carbohydrate and lipid metabolism, has not yet been studied extensively.

Therefore, this study was designed to investigate an intermittent temperature treatment with amplitudes of 3°C lower and higher than the standard incubation temperature for 4 h on E16, E17, and E18. Embryonic growth, yolk consumption, and hatching parameters were determined as a measure for embryonic development. Embryonic metabolism was quantified by measuring air cell and blood gases, thyroid hormones, and metabolites of carbohydrate and lipid metabolism at the end of and 3 h after the intermittent lower and higher temperature treatment.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

อุณหภูมิบ่มเป็นหนึ่งสำคัญที่สุดทางกายภาพปัจจัยกำหนด หรือมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของเอ็มบริโอไก่และ hatchability (Decuypere และ Michels 1992) การบ่มอุณหภูมิมีชื่อเสียงมีผลต่อการพัฒนาตัวอ่อนและการฟักไข่ อย่างไรก็ตาม ขนาดและทิศทางของอิทธิพลนี้ได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในระหว่างการบ่ม และความถี่ ระยะเวลา และคลื่นของจัดการอุณหภูมิ การศึกษาล่าสุดโดย Willemsen et al. (2010) รายงานผลลึกซึ้งแตกต่างจาก manipulations เนื่องอุณหภูมิ 3 องศาเซลเซียสต่ำ หรือสูงกว่าอุณหภูมิบ่มมาตรฐานในระหว่างการฟักตัวช้า [ตัวอ่อนวัน (E) 16 E18.5] ในการพัฒนาตัวอ่อน เผาผลาญ และการฟักไข่ การรักษาอุณหภูมิอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ในการพัฒนาตัวอ่อนช้าลงและเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ นี้สามารถลดการเจริญเติบโต และระดับการเผาผลาญกับปัญญาอย่างจริงจังในการฟักไข่ และลด hatchability โดดเด่นที่โคลนรักษา ด้วยอุณหภูมิการบ่ม 3° C ต่ำกว่าอุณหภูมิบ่มมาตรฐานในช่วงเวลาเดียวกันพบความยากลำบากเล็กน้อยในการจัดการการรักษายกเว้นเริ่มต้นล่าช้าของการฟักไข่ ศึกษามากแล้วรู้จัดการอุณหภูมิไม่ต่อเนื่องระหว่างสายคณะทันตแพทยศาสตร์ ตั้งแต่ 3 ถึง 12 h/d และ deviating 1-2 องศาเซลเซียสจากอุณหภูมิบ่มมาตรฐาน (Moraes et al., 2003 Yalçin และ Siegel, 2003 รับร้อยเอ็ด al., 2005, 2007 Yalçin et al., 2005, 2008 Piestun et al., 2008, 2009) อย่างไรก็ตาม ตรวจอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิบ่มมาตรฐานการศึกษามีจำกัด (ซูอาเรส et al., 1996 Piestun et al., 2009) นอกจากนี้ ส่วนใหญ่เหล่านี้รายงานการศึกษาผลกระทบของอุณหภูมิปกเจี๊ยบน้ำหนักที่ฟัก และใน hatchability ผลการเผาผลาญตัวอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์โบไฮเดรตและไขมันเผาผลาญ มีไม่ยังได้ศึกษาอย่างกว้างขวางดังนั้น การศึกษานี้ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบเป็นระยะ ๆ อุณหภูมิรักษา ด้วยช่วง 3° C ต่ำกว่า และสูงกว่าอุณหภูมิบ่มมาตรฐานสำหรับ h 4 E16, E17 และ E18 ตัวอ่อนเจริญเติบโต ปริมาณแดง และฟักพารามิเตอร์ถูกกำหนดเป็นการวัดการพัฒนาตัวอ่อน เผาผลาญตัวอ่อนถูก quantified โดยวัดเซลล์อากาศ และก๊าซในเลือด ฮอร์โมนไทรอยด์ และ metabolites ของคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่สิ้นสุดและ 3 h หลังจากการรักษาไม่ต่อเนื่องอุณหภูมิต่ำ และสูง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

อุณหภูมิบ่มเพาะเป็นหนึ่งในปัจจัยทางกายภาพที่สำคัญที่สุดที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดหรือไก่และการพัฒนาตัวอ่อนฟัก (Decuypere ยะและ 1992) การจัดการของอุณหภูมิบ่มเป็นที่รู้จักกันที่จะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาทั้งตัวอ่อนและขั้นตอนการฟักไข่ แต่ขนาดและทิศทางของอิทธิพลนี้เป็นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการบ่มและความถี่ระยะเวลาและความกว้างของการจัดการอุณหภูมิ การศึกษาล่าสุดโดย Willemsen et al, (2010) รายงานผลกระทบที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้งจากกิจวัตรอย่างต่อเนื่องของอุณหภูมิ 3 องศาเซลเซียสต่ำกว่าหรือสูงกว่าอุณหภูมิบ่มมาตรฐานในช่วงปลายบ่ม [วันตัวอ่อน (E) 16 E18.5] เกี่ยวกับการพัฒนาของตัวอ่อน, การเผาผลาญอาหารและขั้นตอนการฟักไข่ การรักษาที่อุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้การพัฒนาของตัวอ่อนช้าลงและลดลงอย่างมีนัยสำคัญคาร์โบไฮเดรตและการเผาผลาญไขมัน นอกจากนี้ยังมีการเจริญเติบโตนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญและระดับการเผาผลาญอาหารที่นำไปสู่การชะลอการอย่างจริงจังในกระบวนการฟักไข่ฟักและลดลง มันเป็นที่โดดเด่นที่ตัวอ่อนได้รับการรักษาด้วยการบ่มที่อุณหภูมิ 3 องศาเซลเซียสต่ำกว่าอุณหภูมิบ่มมาตรฐานในช่วงเวลาเดียวกันแสดงให้เห็นความยากลำบากในการจัดการการรักษายกเว้นสำหรับการเริ่มต้นล่าช้าของกระบวนการฟักไข่ การศึกษาหลายแห่งได้มุ่งเน้นอยู่แล้วในการจัดการอุณหภูมิเป็นระยะ ๆ ในช่วงบ่มปลายตั้งแต่ 3-12 ชั่วโมง / วันและเบี่ยงเบน 1-2 องศาเซลเซียสจากอุณหภูมิบ่มมาตรฐาน (Moraes et al, 2003;. Yalçınและซีเกล, 2003; Collin et al, ., 2005, 2007; Yalçın et al, 2005, 2008;.. Piestun, et al, 2008, 2009) อย่างไรก็ตามการศึกษาการตรวจสอบอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิบ่มมาตรฐานจะถูก จำกัด (ซัวเรซ, et al, 1996;.. Piestun et al, 2009) นอกจากนี้ส่วนใหญ่ของการศึกษาเหล่านี้รายงานเพียงผลกระทบของการจัดการอุณหภูมิน้ำหนักเจี๊ยบที่ฟักและฟัก แต่ผลที่ได้ในการเผาผลาญตัวอ่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง. ดังนั้นการศึกษานี้ถูกออกแบบมาเพื่อ ตรวจสอบการรักษาอุณหภูมิเนื่องกับช่วงกว้างของคลื่น 3 ° C ที่ต่ำกว่าและสูงกว่าอุณหภูมิบ่มมาตรฐาน 4 ชั่วโมงใน E16, E17 และ E18 การเจริญเติบโตของตัวอ่อนการบริโภคไข่แดงและพารามิเตอร์การฟักไข่ได้รับการพิจารณาเป็นตัวชี้วัดการพัฒนาของตัวอ่อน การเผาผลาญอาหารของตัวอ่อนได้โดยการวัดปริมาณเซลล์อากาศและก๊าซในเลือดฮอร์โมนไทรอยด์และสารคาร์โบไฮเดรตและการเผาผลาญไขมันในตอนท้ายของและ 3 ชั่วโมงหลังจากที่ลดลงต่อเนื่องและการรักษาอุณหภูมิที่สูงขึ้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

อุณหภูมิที่เป็นหนึ่งในที่สำคัญที่สุดการกำหนดปัจจัยหรือมีอิทธิพลต่อการพัฒนาตัวอ่อนไก่และการฟักออกเป็นตัว ( decuypere และมิเชล พ.ศ. 2535 ) การจัดการของอุณหภูมิที่เป็นที่รู้จักกันส่งผลกระทบต่อทั้งการพัฒนาตัวอ่อนฟักและกระบวนการ อย่างไรก็ตามขนาดและทิศทางของอิทธิพลนี้เป็นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในช่วงระยะเวลาและความถี่และแอมปลิจูดของการจัดการอุณหภูมิ การศึกษาล่าสุดโดย willemsen et al .( 2553 ) รายงานผลกระทบจากอุณหภูมิที่แตกต่างกันลึกซึ้งต่อเนื่อง manipulations 3 °องศาเซลเซียสต่ำ หรือ สูงกว่าอุณหภูมิมาตรฐานในช่วงฟักตัว [ ( E ) ของวันที่ 16 e18.5 ] ในการพัฒนาตัวอ่อนฟัก เมแทบอลิซึม และกระบวนการการรักษาอุณหภูมิสูงต่อเนื่องส่งผลให้ตัวอ่อนพัฒนาช้าลงและลดการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันมาก ซึ่งสามารถลดระดับการเผาผลาญ การเจริญเติบโต และนำไปสู่ความร้ายแรงในกระบวนการจากการลดลงมันเป็นที่โดดเด่นที่ได้รับการบ่มเพาะตัวอ่อน 3 องศา C อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิมาตรฐาน ในช่วงเวลาเดียวกัน พบปัญหาเล็กน้อยในการรักษายกเว้นล่าช้าเริ่มต้นของการ กระบวนการ หลายการศึกษาได้เน้นการจัดการอุณหภูมิต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ 3 ถึง 12 H / D และกะล่อน 1 ° C จากอุณหภูมิมาตรฐาน มอเรียน et al . , 2003 ; เยลทา และ ซีเกล , 2003 ; Collin et al . , 2005 , 2007 ; เยล 5 ใน et al . , 2005 , 2008 ; piestun et al . , 2008 , 2009 ) อย่างไรก็ตาม การศึกษาตรวจสอบต่ำกว่าอุณหภูมิมาตรฐานอุณหภูมิจำกัด ( ซัวเรซ et al . , 1996 ; piestun et al . , 2009 ) นอกจากนี้ส่วนใหญ่ของการศึกษาเหล่านี้รายงานแต่ผลของอุณหภูมิในการเจี๊ยบน้ำหนักที่ฟักและการฟักออกเป็นตัว แต่ต่อเมแทบอลิซึมของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง .

เพราะฉะนั้น