B. sorokiniana causes foliar spot b

B. sorokiniana causes foliar spot blotch, root rot, and black point on grains ( Fig. 2A–G ), as well as head blight and seedling blight of wheat and barley. Infected seedlings develop dark brown necrotic lesions on roots, crowns, and lower leaf sheaths. Leaf blade and sheath infections develop as distinct oval to elongated light to dark brown blotches ( Fig. 2A–C ). Root ( Fig. 2D ) and crown ( Fig. 2E ) infections can be so severe that infected plants dry out without producing any seed. Under favourable conditions, spikelets may be affected, causing grain shrivelling ( Fig. 2F,G ). The susceptibility to the pathogen increases around Zadoks’ growth stage DC 56 (three-quarters of the inflorescence emerged). At this stage, if weather conditions are conducive, i.e. continuous rain for 5–6 days followed by warmer temperatures (day average of 20–30 °C), spot blotch epidemic can develop very rapidly ( Mehta, 1998 ). Under low light intensity, the pathogen may colonize host tissue intercellularly without causing visible damage. Fungal infection accelerates leaf senescence at later growth stages ( Dehne and Oerke, 1985 ).

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Sorokiniana เกิดทำให้เกิดจุดแผล foliar, rot ราก และจุดดำบนธัญพืช (Fig. 2A – G), และโรคโรคและแหล่งใหญ่ของข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ กล้าไม้ติดเชื้อพัฒนาเข้มน้ำตาล necrotic ได้บนราก ครอบฟัน และ sheaths ใบล่าง ติดเชื้อใบมีดและ sheath ใบพัฒนาเป็นวงรีแตกต่างกับไฟ blotches สีน้ำตาลเข้ม (Fig. 2A – C) อีลองเกต ราก (Fig. 2D) และคราวน์ (Fig. 2E) เชื้ออาจรุนแรงมากว่า ติดไวรัสพืชแห้งออก โดยไม่มีการผลิตเมล็ดพันธุ์ใด ๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ดี spikelets อาจรับผลกระทบ สาเหตุธัญ shrivelling (Fig. 2F, G) ไก่เพื่อเพิ่มการศึกษารอบการเจริญเติบโตของ Zadoks ระยะ 56 DC (three-quarters inflorescence ที่ปรากฏขึ้น) ในขั้นตอนนี้ ถ้าสภาพอากาศมีฝนตกอย่างต่อเนื่องเช่น เอื้อสำหรับ 5-6 วันตามอุ่นอุณหภูมิ (วันเฉลี่ย 20 – 30 องศาเซลเซียส), จุด โรคระบาดแผลสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็ว (Mehta, 1998) ภายใต้ความเข้มแสงต่ำ การศึกษาอาจ colonize เนื้อเยื่อโฮสต์ intercellularly โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายที่มองเห็น ติดเชื้อเชื้อราช่วยเร่งใบ senescence ในระยะการเจริญเติบโตได้ในภายหลัง (Dehne และ Oerke, 1985)

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

บี sorokiniana ทำให้เกิดตุ่มจุดทางใบรากเน่าและจุดสีดำบนเมล็ด (รูป. 2A-G) เช่นเดียวกับความยากลำบากที่ศีรษะและทำลายต้นกล้าข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ต้นกล้าที่ติดเชื้อแผลฉีกพัฒนาสีน้ำตาลเข้มบนรากครอบฟันและลดฝักใบ ใบและการติดเชื้อเปลือกไข่พัฒนาที่แตกต่างกันเป็นแสงยาวจะเป็นจ้ำสีน้ำตาลเข้ม (รูป. 2A-C) ราก (รูป. 2D) และพระมหากษัตริย์ (รูป. 2E) การติดเชื้อที่อาจจะรุนแรงเพื่อให้พืชที่ติดเชื้อแห้งออกโดยไม่ต้องผลิตเมล็ดพันธุ์ใด ๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ดีดอกอาจได้รับผลกระทบที่ก่อให้เกิดเม็ด shrivelling (รูป. 2F, G) ความไวต่อการเพิ่มขึ้นของการติดเชื้อรอบระยะการเจริญเติบโต Zadoks 'ซี 56 (สามในสี่ของช่อดอกโผล่ออกมา) ในขั้นตอนนี้หากสภาพอากาศเอื้ออำนวยเช่นฝนตกอย่างต่อเนื่อง 5-6 วันตามด้วยอุณหภูมิที่อุ่น (วันเฉลี่ย 20-30 ° C) การแพร่ระบาดจุดด่างสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็ว (เมธา, 1998) ภายใต้ความเข้มแสงต่ำเชื้อโรคอาจรกรากเนื้อเยื่อโฮสต์ intercellularly โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายที่มองเห็น เชื้อราเร่งการเสื่อมสภาพของใบที่ระยะการเจริญเติบโตภายหลัง (Dehne และ Oerke, 1985)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

B sorokiniana สาเหตุรอย , จุดที่ใบ รากเน่า และจุดดำบนธัญพืช ( รูปที่ 2A ( G ) , เช่นเดียวกับโรคหัวและต้นกล้าไหม้ของข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ต้นกล้าติดเชื้อพัฒนาสีน้ำตาลเข้มที่แผลที่ราก ครอบฟัน และหุ้มใบล่าง ใบและฝักไข่เพื่อพัฒนาเชื้อแตกต่างกันทำให้แสง blotches สีน้ำตาลเข้ม ( รูปที่ 2A ( C ) ราก ( ฟิค2 ) และมงกุฎ ( รูปที่ 2 ) เชื้อได้ดังนั้นรุนแรงที่ติดเชื้อใด ๆพืชแห้งออกโดยไม่มีการผลิตเมล็ดพันธุ์ ภายใต้เงื่อนไขที่ดี ที่อาจได้รับผลกระทบ ทำให้เม็ด shrivelling ( รูปห้อง 2F , G ) ความไวต่อเชื้อโรคเพิ่มรอบ zadoks ' ระยะการเจริญเติบโต DC 56 ( 3 ใน 4 ส่วนของช่อดอกโผล่ออกมา ) ในขั้นตอนนี้ถ้าสภาพอากาศจะเอื้ออำนวย )ฝนตกอย่างต่อเนื่องสำหรับ 5 - 6 วัน ตามด้วยอุณหภูมิที่อบอุ่น ( วันเฉลี่ย 20 – 30 ° C ) , โรคจุดสีน้ำตาลระบาดสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็ว ( Mehta , 1998 ) ภายใต้ความเข้มแสงต่ำ เชื้อโรคอาจตั้งรกรากเนื้อเยื่อโฮสต์ intercellularly โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายที่มองเห็นได้ การติดเชื้อราเร่งการเสื่อมสภาพใบการเจริญเติบโตในระยะเวลาต่อมา ( dehne และ oerke , 1985 )