In the past three decades, numerous

In the past three decades, numerous theoretical and empirical studies have been devoted to examining transformational
leadership effectiveness and its influencing processes (Barling, Christie, & Hoption, 2010). A cursory look at the
predominant models of transformational leadership (e.g., Bass, 1985; Kark & Shamir, 2002) reveals that trust in
the leader is often placed in a central role. Previous studies have mostly treated trust as a global construct and
examined its central role as a mediator in the relationship between transformational leadership and followers’ work
outcomes (e.g., MacKenzie, Podsakoff, & Rich, 2001; Podsakoff, MacKenzie, Moorman, & Fetter, 1990). On the
basis of a meta-analytic review of trust in leaders, Dirks and Ferrin (2002) urged researchers to take into account
multiple dimensions of trust, including affect-based and cognition-based trust and “attempt to distinguish between
the processes involved” (p. 623), but only a limited number of them have actually heeded this call (Schaubroeck,
Lam, & Peng, 2011; Yang & Mossholder, 2010; Yang, Mossholder, & Peng, 2009). We extend this limited stream
of research by examining prosocial motivation as a moderator that may enhance or mitigate the mediated
relationships between transformational leadership and work outcomes through affect-based and cognition-based
trust. Because different dimensions of trust have been considered to fulfill distinct mediating functions
(Schaubroeck et al., 2011), a model of leadership that incorporates trust should seek to identify boundary conditions
under which dimensions of trust have differential effects on work outcomes (Dirks & Ferrin, 2002).
McAllister (1995) conceptualized trust as a two-dimensional construct comprising affect-based and cognition-based
trust. Affect-based trust is grounded upon emotional investments and expressions of genuine care and concern in
trust relationships, whereas cognition-based trust is built upon attributions of the leader’s characteristics, such as
ability, integrity, and reliability (McAllister, 1995). According to Colquitt, LePine, Piccolo, Zapata, and Rich

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในที่ผ่านมาสามทศวรรษที่ผ่านมาการศึกษาทางทฤษฎีและประสบการณ์จำนวนมากได้รับการอุทิศเพื่อการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพเป็นผู้นำ
และกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อมัน (Barling, คริสตี้ hoption &, 2010) ดูคร่าวๆที่รุ่นเด่น
จากการเปลี่ยนแปลงความเป็นผู้นำ (เช่นเบส, 1985; Kark & Shamir, 2002) เผยให้เห็นถึงความไว้วางใจที่ใน
ผู้นำมักจะวางอยู่ในบทบาทสำคัญอย่างยิ่งการศึกษาก่อนหน้านี้ได้รับการรักษาส่วนใหญ่ไว้วางใจในขณะที่สร้างโลกและ
ตรวจสอบบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นสื่อกลางในความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและการทำงานของลูกน้อง 'ผล
(เช่นแม็คเคนซี่, podsakoff, &ที่อุดมไปด้วย, 2001; podsakoff แม็คเคนซี่, Moorman, & โซ่ตรวน, 1990) บนพื้นฐาน
จากรีวิวเมตาในการวิเคราะห์ของความเชื่อมั่นในผู้นำDirks และ Ferrin (2002) กระตุ้นให้นักวิจัยที่จะเข้าบัญชี
หลายมิติของความไว้วางใจรวมทั้งส่งผลกระทบต่อพื้นฐานและความรู้ตามความไว้วางใจและ "ความพยายามที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่าง
กระบวนการที่เกี่ยวข้อง" (พี 623) แต่มีเพียงจำนวน จำกัด พวกเขาได้จริงปฏิบัติตามคำเรียกนี้ (schaubroeck
ลำ, & Peng, 2011; หยาง& mossholder, 2010; หยาง, mossholder, &เพ้ง 2009)เราขยาย
กระแสนี้ จำกัด ของการวิจัยโดยการตรวจสอบแรงจูงใจ prosocial เป็นผู้ดูแลที่อาจเพิ่มหรือลดความสัมพันธ์
สื่อกลางระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและผลงานที่ผ่านส่งผลกระทบต่อพื้นฐานและความรู้ตามความไว้วางใจ
เพราะขนาดที่แตกต่างกันของความไว้วางใจได้รับการพิจารณาเพื่อตอบสนองฟังก์ชั่นที่แตกต่างกัน mediating
(schaubroeck et al. 2011)รูปแบบของความเป็นผู้นำที่รวมเอาความไว้วางใจควรพยายามที่จะระบุเงื่อนไขขอบเขต
ภายใต้มิติของความไว้วางใจที่แตกต่างกันมีผลต่อผลลัพธ์การทำงาน (Dirks & Ferrin, 2002).
McAllister (1995) แนวความคิดความไว้วางใจในฐานะที่เป็นสองมิติสร้างประกอบไปด้วยส่งผลกระทบต่อตาม และความรู้พื้นฐานของความไว้วางใจ
ส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจที่ใช้เป็นเหตุผลในการลงทุนทางอารมณ์และการแสดงออกของการดูแลของแท้และความกังวลใน
ความสัมพันธ์ที่เชื่อถือในขณะที่ความไว้วางใจความรู้ความเข้าใจตามที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อเหตุผลของลักษณะของผู้นำเช่นความสามารถใน
ซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือ (McAllister, 1995) ตามขลุ่ย Colquitt, Lepine, เปาลาและอุดมไปด้วย

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในสามทศวรรษ หลายทฤษฎี และผลการศึกษาที่มีการทุ่มเทเพื่อตรวจสอบภาวะ
ประสิทธิผลภาวะผู้นำและกระบวนการมีอิทธิพลต่อ (Barling คริสตี้ & Hoption, 2010) ดูเผิน ๆ การ
กันรูปแบบของภาวะผู้นำ (เช่น เบส 1985 Kark & Shamir, 2002) พบว่าความเชื่อถือใน
ผู้นำมักจะอยู่ในบทบาทศูนย์กลางการ การศึกษาก่อนหน้านี้ได้ส่วนใหญ่เป็นความน่าเชื่อถือสร้างโลก และ
ตรวจสอบบทบาทของส่วนกลางเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำและการทำงานของลูกศิษย์
ผล (เช่น แมค Podsakoff &ริช 2001 Podsakoff แมค Moorman & Fetter, 1990) ในการ
พื้นฐานของความไว้วางใจในผู้นำ ทบทวน meta-คู่ Dirks และ Ferrin (2002) นักวิจัย urged ถึง
หลายมิติของความไว้วางใจ เชื่อถือ ตามประชาน และ ตามผลรวม และ "พยายามแยกแยะ
เกี่ยวข้องกับกระบวนการ" (p. 623), แต่เพียงจำนวนจำกัดของพวกเขาจริงได้ปฏิบัตินี้เรียก (Schaubroeck,
ลำ &เป็ง 2011 ยาง& Mossholder, 2010 ยาง Mossholder &เป็ง 2009) เราขยายกระแสนี้จำกัด
วิจัยโดยตรวจสอบแรงจูงใจ prosocial เป็นผู้ดูแลซึ่งอาจเพิ่ม หรือลดที่ mediated
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำและผลการทำงานผ่าน ตามประชาน และ ตามผล
เชื่อถือ เนื่องจากได้ถือมิติต่าง ๆ ของความน่าเชื่อถือเพื่อตอบสนองหน้าที่หมด mediating
(Schaubroeck et al., 2011), แบบของภาวะผู้นำที่น่าเชื่อถือควรพยายามระบุเงื่อนไขขอบ
ภายใต้มิติของความน่าเชื่อถือมีผลแตกต่างในผลผลิต (Dirks & Ferrin, 2002) .
McAllister (1995) conceptualized เชื่อถือเป็นการสร้างสองห้อง ตามประชาน และ ตามผล
เชื่อถือ โดยมีผลต่อความน่าเชื่อถือเป็นสูตรการลงทุนทางอารมณ์และนิพจน์ของแท้ดูแลและกังวลใน
เชื่อถือความสัมพันธ์ ในขณะที่ประชานใช้แทนสร้างขึ้น attributions ลักษณะของผู้นำ เช่น
ความสามารถ ความสมบูรณ์ และความน่าเชื่อถือ (McAllister, 1995) ตาม Colquitt เลไพน์ พิคโค โล Zapata และอุดมไปด้วย

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาการศึกษาในเชิงทฤษฎีและข้อมูลเชิงประจักษ์จำนวนมากได้รับการอุทิศตนเพื่อตรวจสอบ ประสิทธิภาพ
ยากไร้ด้อยโอกาสให้เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นผู้นำและกระบวนการอนึ่ง( barling Christie & hoption 2010 ) ดูเผินๆที่
ซึ่งจะช่วยความโดดเด่นรูปแบบของความเป็นผู้นำที่ยากไร้ด้อยโอกาสให้เปลี่ยนแปลงไปสู่(เช่นเสียงเบส; Spark , 1985 kark &มีร์ 2002 )เปิดเผยว่าความเชื่อมั่นในผู้นำ
ซึ่งจะช่วยให้อยู่ในบทบาทที่เป็นศูนย์กลางที่อยู่ก่อนหน้ามีการศึกษาส่วนใหญ่ได้รับการปฏิบัติความน่าเชื่อถือเป็นระดับโลกสร้างและ
ซึ่งจะช่วยตรวจสอบของกลางมีบทบาทเป็นสื่อกลางในความสัมพันธ์ระหว่างยากไร้ด้อยโอกาสให้เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นผู้นำและผู้ติดตามของงาน
ผลลัพธ์(เช่น,อ่างเก็บน้ำ Mackenzie Basin , podsakoff ,& Rich , 2001 ; podsakoff ,อ่างเก็บน้ำ Mackenzie Basin , moorman ,&ตรวน, 1990 )
ซึ่งจะช่วยในการตรวจสอบเมตา - เชิงวิเคราะห์ที่ได้รับความไว้วางใจในผู้นำหว่งวิ่นและ ferrin ( 2002 )เรียกร้องให้นักวิจัยสามารถนำไปยังแอคเคาท์ขนาด
หลายของความน่าเชื่อถือรวมถึงความน่าเชื่อถือมีผลต่อและทราบและ"ความพยายามในการสร้างความแตกต่างระหว่างกระบวนการ
ที่เกี่ยวข้อง"( p . 623 )แต่เพียงจำนวนจำกัด(มหาชน)มีความสนใจการโทรนี้( schaubroeck
ลำ& Peng 2011 ยาง& mossholder 2010 ยาง mossholder & Peng 2009 )จริงๆเราเพิ่มสตรีมจำกัด(มหาชน)
ซึ่งจะช่วยในการวิจัยนี้ด้วยการตรวจสอบแรงบันดาลใจ prosocial เป็นผู้ดำเนินการที่อาจเพิ่มหรือลดความสัมพันธ์ที่ดีงาม
ซึ่งจะช่วยระหว่างความเป็นผู้นำและยากไร้ด้อยโอกาสให้เปลี่ยนแปลงไปสู่ผลลัพธ์งานผ่านส่งผลกระทบต่อและทราบซึ่งใช้ความน่าเชื่อถือ
เนื่องจากขนาดความน่าเชื่อถือต่างๆได้รับการพิจารณาให้เป็นไปตามการทำงานที่แตกต่างกันเป็นสื่อกลาง
( schaubroeck et al . 2011 )รุ่นของความเป็นผู้นำที่กลมกลืนเข้ากับความน่าเชื่อถือควรจะหาวิธีในการระบุขอบเขตของเงื่อนไข
ตามที่ขนาดของความน่าเชื่อถือมีส่วนที่แตกต่างส่งผลในงานผลลัพธ์(หว่งวิ่น& ferrin , 2002 )..
, McAllister ( 1995 )แนวความคิดความเชื่อถือเป็นที่สองมิติสร้างประกอบด้วยมีผลกระทบต่อและทราบซึ่งใช้
เชื่อถือได้ความน่าเชื่อถือมีผลต่อ - เป็นต่อสายดินเมื่อการลงทุนและการแสดงออกทางอารมณ์และความห่วงใยในเรื่องของการดูแลของแท้ในความสัมพันธ์กับความน่าเชื่อถือ
ซึ่งจะช่วยในขณะที่ความน่าเชื่อถือทราบ - ใช้เป็นตัวอ้างอิงตามลักษณะของผู้นำที่เช่น
ความสามารถความสมบูรณ์และความน่าเชื่อถือ( McAllister 1995 ) ตาม colquitt lepine ขลุ่ยผิว Zapata และที่หลากหลาย