เรื่อง กำเนิดประเทศสิงคโปร์
นานมาแล้ว มีเจ้าชายแห่งปาเลมบัง ทรงพระนามว่า “ปรเมศวร” พระองค์ทรงเป็นนักล่า สัตว์ ฝีมือเลื่องลือกันไปทั่ว เจ้าชายปรเมศวร ทรงออกล่าสัตว์เป็นประจำ คราวหนึ่งพระองค์พา นายพราน ทหาร และข้าราชบริพารไปล่าสัตว์บนเกาะริโอ
ครั้งถึงเกาะริโอ..ก็มีกวางตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ผ่านหน้าขบวนเสด็จ เจ้าชายปรเมศวร จึงตรัสว่า “ยิงเลย ยิงเลย” เหล่านายพราน ทหารที่มีอาวุธทั้งธนู ทั้งหอก ก็ต่างพุ่มไปที่ตัวกวางตัวนั้น ราวกับห่าฝน ..แต่ทว่าไม่มีอาวุธใดระคายผิวกวางตัวนั้นได้เลย แล้วเจ้ากวางก็วิ่งหนีหายไปอย่าง รวดเร็ว
เจ้าชายเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามกวางไปอย่างรวดเร็ว พระองค์รู้สึกประหลาดพระทัยที่เหตุใดเจ้ากวางตัวนั้นถึงไม่เป็นอะไรเลย จึงเสด็จตามอย่างไม่ลดละจนมาถึงยอดข้าสูง
“เจ้ากวางมันหายไปไหนแล้ว เราว่าเราตามมาติดๆ เลยนะ” เจ้าชายตรัส
“นั้นสิพะยะคะ เราตามมาไม่คลาดสายตาเลย”
ระหว่างการสนทนากับเหล่านายพรานและทหารพระองค์ได้ทอดพรเนตรทัศนียภาพบนเขา และทอดพระเนตรออกไปไกลสุดสายตา ทรงเห็นเกาะแก่งและชายหาดทรายสวยงามที่สะท้อน แสงสีทอง พร้อมกับเปล่าเสียงว่า
“ทะเล เกาพแก่งที่นี่ช่างสวยงามเหลือเกิน” … “เกาะที่อยู่ตรงหน้านี้ชื่อว่าอะไร” เจ้าชายทรง ตรัสถามทหารนายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้สนิทและตามเสด็จด้วยทุกหนแห่ง
“เกาะตุมะเสก พะยะค่ะ” นายทหารคนสนิทตอบ
เจ้าชายได้ยินดังนั้นก็ตรัสว่า “ ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปลงเรือ แล้วไปเกาะนั้นกัน เจ้ากวาง โชคดีตัวนั้นปล่อยมันไปเถอะ”
เมื่อเรือพระที่นั่งของเจ้าชายปรเมศวร พร้อมด้วยขบวนเรือ ตามเสด็จของเหล่าข้าราช บริพาร ใกล้จะถึงเกาะตะมะเสก พลันธรรมชาติเกิดแปรปรวน ท้องฟ้าจู่ๆ ก็มืดครึ้ม มีแสงสายฟ้าแลบแปลบแปลบ และเสียงคำรนคำรามของฟ้าร้องและฟ้าผ่า สายลมที่พัดแรงขึ้น เรื่อยๆแล้วสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก …ครั้งเมื่อเกิดพายุโหมท้องทะเลคลื่นปั่นป่วน คลื่นแต่ละลูกสูงท่วมเรือ ทำให้เรือแต่ละลำกระเด็นกระดอนไปตามลูกคลื่น จนทหารผู้เป็น หัวหน้ากราบทูลว่า
“ ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าวของที่อยู่บนเรือ ไม่ว่าจะเป็นเสบียง อาวุธ เครื่องใช้ต่างๆ ต้องทิ้งจากเรือให้หมด มิเช่นนั้นเรือจะล่ม อย่างแน่นอนพะยะค่ะ” เมื่อเจ้าชายได้ยินดังนั้นก็ทรงอนุญาตให้สละข้าวของในเรือทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตคนในลำเรือ แต่กระนั้นเรือก็ยังเอียงประหนึ่งว่า จะล่มไม่ล่ม ..ทหารคนสนิท จึงกราบทูลว่า
“ที่ประทับของพระองค์ และแม้กระทั่งมงกุฎทองบนเศียรของพระองค์ก็ต้องโยนทิ้งทะเล มิเช่นนั้นเรือล่มแน่นอนพะยะค่ะ” …เจ้าชายได้ยินดังนั้นรีบตรัสว่า “ไม่ได้ มงกุฎทองต้องอยู่กับเรา ตลอดเวลา เราสวมมงกุฎอยู่ ณ ที่ใดที่นั่นก็คืออาณาจักรของเรา” เจ้าชายตรัสอย่างไม่เห็นด้วยกับ ที่นายทหารคนสนิทกล่าวมา และพระองค์ก็ไม่ทรงถอดมงกุฎทอง
แต่ทว่าฟ้าฝนก็ยังคงกระหน่ำ คลื่นลมทะเลก็ยังคงแรงโดยไม่มีทีท่าจะลดลาลง และยิ่งทวี ความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ..ทำให้เรือพระที่นั่งลอยขึ้นลงจามยอดคลื่นยักษ์
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า …หากพระองค์ไม่ทรงสละมงกุฎทองเรือจะต้องล่มแน่นอนครานี้ แล้วทุกคนก็จะจมน้ำตายสิ้นพะะค่ะ” นายทหารคนสนิทกล่าวกับพระราคาอีกรอบ
เมื่อไม่มีหนทางใดเพราะพายุยิ่งแรงกระหน่ำหนักน้ำเข้าลำเรืออย่างหนัก เมื่อไม่มีทางเลือก เจ้าชายทรงถอดมงกุฎออกจากพระเศียร พระองค์ทรงทอดพระเนตรมงกุฎทองเป็นครั้งสุดท้าย แล้วทรงโยนลงทะเลด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
ทันใดนั้น…พายุคลื่นลมในทะเลก็สงบลงทันที เรือแต่ละลำแล่นเข้าสู่เกาะ และเทียบเข้าสู่ ฝั่งโดยไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น …
เมื่อทุกคนได้พักผ่อน เจ้าชายก็ทรงทอดพระเนตรเห็นว่ายังมีแสงเจิดจ้า จึงต้องการที่จะต้องการล่าสัตว์บนเกาะแห่งนี้ …พระองค์ทรงเดินนำหน้าและมีสัตว์ตัวหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหิน มันเป็นสัตว์ที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าสัตว์นี้มีขนหัวสีดำ คอยาว และตัวมีขนสีแดง
เจ้าชายตรัสถามทหารคนสนิทว่า “เจ้าสัตว์ที่นั่งอยู่บนโขดหินนั้นคือตัวอะไร” … “มันคือ สิงโตพะยะค่ะ” ทหารคนสนิทกล่าว
“เจ้าสัตว์ตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ เราจะย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่เกาะนี้ เราชอบที่นี่มาก ธรรมชาติสวยงาม มีความอุดมสมบูรณ์ พวกเจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร” เจ้าชายตรัสถาม …บรรดา ทหาร ข้าราชบริพาร ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เหมาะสมมากพะยะค่ะ แล้จะทรงตั้งชื่อว่า อย่างไรพะยะค่ะ”
เจ้าชายนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ เราจะให้ชื่อ สิงหปุระ อันหมายถึง นครแห่งสิงโต” พระองค์ตรัสพร้อมๆ กับมองเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นโดยไม่คิดจะล่ามันอีก
**ตั้งแต่นั้นมา “สิงหะปุระ” จึงถูกเรียกต่อๆกันมา และค่อยๆเพี้ยนเป็นคำว่า “สิงคโปร์”