The corrosive effect of polluted, a

The corrosive effect of polluted, acidic city air on limestone and marble was noted in the 17th century by John Evelyn, who remarked upon the poor condition of the Arundel marbles.[2] Since the Industrial Revolution, emissions of sulfur dioxide and nitrogen oxides into the atmosphere have increased.[3][4] In 1852, Robert Angus Smith was the first to show the relationship between acid rain and atmospheric pollution in Manchester, England.[5]

Though acidic rain was discovered in 1853, it was not until the late 1960s that scientists began widely observing and studying the phenomenon.[6] The term "acid rain" was coined in 1872 by Robert Angus Smith.[7] Canadian Harold Harvey was among the first to research a "dead" lake. Public awareness of acid rain in the U.S increased in the 1970s after The New York Times published reports from the Hubbard Brook Experimental Forest in New Hampshire of the myriad deleterious environmental effects shown to result from it.[8][9]

Occasional pH readings in rain and fog water of well below 2.4 have been reported in industrialized areas.[3] Industrial acid rain is a substantial problem in China and Russia[10][11] and areas downwind from them. These areas all burn sulfur-containing coal to generate heat and electricity.[12]

The problem of acid rain has not only increased with population and industrial growth, but has become more widespread. The use of tall smokestacks to reduce local pollution has contributed to the spread of acid rain by releasing gases into regional atmospheric circulation.[13][14] Often deposition occurs a considerable distance downwind of the emissions, with mountainous regions tending to receive the greatest deposition (simply because of their higher rainfall). An example of this effect is the low pH of rain which falls in Scandinavia.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ผลกัดกร่อนของอากาศเมืองเสีย กรดหินปูนและหินอ่อนถูกบันทึกไว้ในศตวรรษที่ 17 โดยจอห์น Evelyn ที่กล่าวตามสภาพดีของลูกหินอรุ[2] ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรม[3][4] ใน 1852 โรเบิร์ต Angus Smith เป็นคนแรกแสดงความสัมพันธ์ระหว่างฝนกรดและมลภาวะทางอากาศในแมนเชสเตอร์ อังกฤษ[5]

ว่าฝนกรดถูกค้นพบใน 1853 ไม่จนถึงปลายปี 1960 นักวิทยาศาสตร์เริ่มกันสังเกต และศึกษาปรากฏการณ์[6] คำว่า "ฝนกรด" ถูกจังหวะในเนียร์ช โดยโรเบิร์ต Angus Smith[7] ฮาร์วี่แคนาดาฮาโรลด์ผู้แรกศึกษาทะเลสาบ "ตาย" ได้ จิตสำนึกสาธารณะของฝนกรดในอเมริกาเพิ่มขึ้นในปี 1970 หลังจากนิวยอร์กเผยรายงานจากป่า Experimental บรู๊ค Hubbard นิวแฮมป์เชียร์พักร้ายสิ่งแวดล้อมลักษณะพิเศษแสดงผลจาก[8][9]

อ่านค่า pH เป็นครั้งคราวในน้ำฝนและหมอกดีด้านล่าง 24 มีการรายงานในพื้นที่อุตสาหกรรม[3] ฝนกรดอุตสาหกรรมเป็นปัญหาที่พบในจีน และรัสเซีย [10] [11] และพื้นที่ downwind จากพวกเขา พื้นที่เหล่านี้ทั้งหมดเผาถ่านหินที่ประกอบด้วยกำมะถันเพื่อสร้างความร้อนและไฟฟ้า[12]

ปัญหาฝนกรดได้ไม่เท่าเพิ่มประชากรและการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ได้แพร่สะพัดมากขึ้น ใช้ของ smokestacks สูงเพื่อลดมลพิษในท้องถิ่นมีส่วนการแพร่กระจายของฝนกรด โดยปล่อยก๊าซเป็นการหมุนเวียนอากาศภูมิภาค[13][14] มักจะสะสมเกิดขึ้นไกลมากของปล่อย downwind ด้วยพื้นที่ภูเขาแนวรับสะสมมากที่สุด (เพียง เพราะปริมาณน้ำฝนความสูง) ตัวอย่างของลักษณะพิเศษนี้มี pH ต่ำของฝนที่ตกในสแกนดิเนเวีย

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ผลในการกัดกร่อนของมลพิษทางอากาศในเมืองที่เป็นกรดในหินปูนและหินอ่อนถูกบันทึกไว้ในศตวรรษที่ 17 โดยจอห์นเอเวอลีที่ตั้งข้อสังเกตกับสภาพที่น่าสงสารของหินอ่อนอรุณ. [2] ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์เป็น บรรยากาศได้เพิ่มขึ้น [3]. [4] ใน 1852 โรเบิร์ตแองกัสสมิ ธ เป็นคนแรกที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างฝนกรดและมลพิษทางอากาศในแมนเชสเตอร์. [5] แม้ว่าฝนที่เป็นกรดถูกค้นพบใน 1853 มันเป็นไม่ได้จนกว่า 1960 ปลายปีที่นักวิทยาศาสตร์เริ่มกันอย่างแพร่หลายในการสังเกตและศึกษาปรากฏการณ์. [6] คำว่า "ฝนกรด" ได้รับการประกาศเกียรติคุณในปี 1872 โดยโรเบิร์ตแองกัสสมิ ธ . [7] แคนาดาแฮโรลด์ฮาร์วีย์เป็นหนึ่งในครั้งแรกเพื่อการวิจัยทะเลสาบ "ตาย" ประชาชนได้ตระหนักถึงฝนกรดในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 1970 หลังจากที่นิวยอร์กไทม์สตีพิมพ์รายงานจากฮับบาร์ดห้วยทดลองป่าในมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ของผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากมายแสดงให้เห็นว่าเป็นผลมาจาก it. [8] [9] อ่านค่า pH ได้เป็นครั้งคราวใน ฝนและหมอกน้ำต่ำกว่า 2.4 ที่ได้รับรายงานในพื้นที่อุตสาหกรรม [3]. ฝนกรดอุตสาหกรรมเป็นปัญหาที่สำคัญในประเทศจีนและรัสเซีย [10] [11] และพื้นที่ล่องจากพวกเขา พื้นที่เหล่านี้เผากำมะถันถ่านหินเพื่อสร้างความร้อนและไฟฟ้า. [12] ปัญหาที่เกิดจากฝนกรดได้เพิ่มขึ้นไม่เพียง แต่มีจำนวนประชากรและการเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ได้กลายเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น การใช้ปล่องสูงเพื่อลดมลพิษในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการแพร่กระจายของฝนกรดโดยการปล่อยก๊าซในการไหลเวียนของบรรยากาศในระดับภูมิภาค. [13] [14] บ่อยครั้งที่การสะสมเกิดขึ้นในระยะที่ล่องของการปล่อยที่มีบริเวณที่เป็นภูเขาแนวโน้มที่จะได้รับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สะสม (เพียงเพราะปริมาณน้ำฝนที่สูงขึ้นของพวกเขา) ตัวอย่างของผลกระทบนี้เป็นค่า pH ต่ำของฝนซึ่งตกอยู่ในสแกนดิเนเวี

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ผลการกัดกร่อนของมลพิษอากาศในเมืองเป็นหินปูนและหินอ่อนถูกระบุไว้ในศตวรรษที่ 17 โดยจอห์นเอเวอลีน ที่กล่าวตามสภาพที่น่าสงสารของดาวหิน [ 2 ] ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และออกไซด์ของไนโตรเจนในบรรยากาศเพิ่มขึ้น . [ 3 ] [ 4 ] ใน 1852 ,โรเบิร์ต แองกัส สมิธเป็นครั้งแรกเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดฝนกรดและบรรยากาศมลพิษในแมนเชสเตอร์ , อังกฤษ [ 5 ]

แม้ว่ากรดฝนถูกค้นพบใน 1853 , มันไม่ได้จนกว่าปลายทศวรรษ 1960 นักวิทยาศาสตร์เริ่มแพร่หลาย การสังเกต และศึกษาปรากฏการณ์ [ 6 ] คำว่า " ฝนกรด " ได้รับการประกาศเกียรติคุณใน 1872 โดย โรเบิร์ต แองกัส สมิธ[ 7 ] แคนาดาแฮโรลด์ฮาร์วีย์เป็นหนึ่งในครั้งแรกเพื่อการวิจัย " ทะเลสาบตาย " ความตระหนักของฝนกรดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นในปี 1970 หลังจากที่นิวยอร์กไทม์สตีพิมพ์รายงานจากป่าห้วยฮับบาร์ด ทดลองใน New Hampshire ของผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากมายคงแสดงผลจากมัน . [ 8 ] [ 9 ]

เป็นครั้งคราว อการอ่านในฝนและหมอกน้ำด้านล่าง 24 มีรายงานในพื้นที่อุตสาหกรรม [ 3 ] อุตสาหกรรมฝนกรดเป็นปัญหาอย่างมากในประเทศจีนและรัสเซีย [ 10 ] [ 11 ] และพื้นที่ใต้ลมจากพวกเขา เหล่านี้ทุกพื้นที่เผา sulfur-containing ถ่านหินเพื่อผลิตความร้อนและไฟฟ้า [ 12 ]

ปัญหาฝนกรดได้ไม่เพียง แต่เพิ่มกับจำนวนประชากรและการเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ได้กลายเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นการใช้ smokestacks สูงเพื่อลดมลพิษท้องถิ่นมีส่วนในการแพร่กระจายของฝนกรด โดยการปล่อยก๊าซเข้าไปในการหมุนเวียนอากาศในภูมิภาค [ 13 ] [ 14 ] มักสะสมเกิดลมระยะทางมากของการปล่อยก๊าซที่มีบริเวณที่เป็นภูเขาพุ่งรับสะสมมากที่สุด ( เพียงเพราะของฝนของพวกเขาสูงกว่า )ตัวอย่างของผลกระทบนี้คือ pH ต่ำของฝนที่ตกอยู่ในสแกนดิเนเวีย