Our mansion is steeped in history,

Our mansion is steeped in history, the beginnings of which date back to 1923. At that time, Bangkok had an influx of Italian artists arriving to work under the commission of King Rama V. Famous artists such as Galileo Chini and Carlo Rigoli worked on projects all around the city. Praya Chollabhumipanish – a noble of the Royal Court Custom Department – assigned to design and build the mansion, was greatly influenced by these Italian artists. The original building called “Baan Bang Yee Khan” is typical of the Paladio architecture of this period. Located right on the banks of the Chao Phraya River, its position was ideal as an observation point for the owner’s custom duty as well as his home.

Praya Chollabhumipanish, his wife and their 10 children had many happy years in the mansion. In 1946, when the main means of transportation changed from waterways to roads, the family moved to the Sukhumvit area, on the other side of the river. The house’s ownership was then transferred to the Foundation for Muslim Community and it was turned into the Rachakarun School.

From being a house of a noble family to a school for children, “Baan Bang Yee Khan” still stood to offer warmth to the students, teachers and boarders without religious distinction. The school operated until 1978 when it closed due to financial difficulties. Five years later, the building became the Indara Vocational school until 1996.

After a decade falling into decay, the old Paladio attracted the attention of Assistant Professor Wichai Pitakvorrarat who had been looking at it from across the river for a long time. Convinced of its value, Khun Wichai teamed up with his wife to restore and renovate the building, in spite of the heavy cost of this enterprise. The flood damages as well as the transportation issues did not stop Khun Wichai; he believed in the importance of conservation and thoroughly used original materials and craftsmanship to finally reinstate the house’s former glory. ‘Praya Palazzo’ was brought back to life in 2009.

Praya Palazzo first opened its restaurant, which has received many praises among the Bangkok community since, and 2011 saw the first guests check in at the residence.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แมนชั่นของเราแพร่หลายในประวัติศาสตร์ การเริ่มต้นที่วันกลับไป 1923 ในเวลานั้น กรุงเทพมหานครมีการหลั่งของศิลปินอิตาลีมาทำงานภายใต้คณะศิลปิน V. กษัตริย์พระรามมีชื่อเสียงเช่นกาลิเลโอนิ และ Carlo Rigoli ทำโครงการทั่วเมือง พระยา Chollabhumipanish – โนเบิลกรมรอยัลคอร์ทเอง – กำหนดให้ออกแบบ และสร้างแมนชั่น มีอิทธิพลอย่างมากจากเหล่าศิลปินอิตาลี อาคารเดิมที่เรียกว่า "บ้านบางยีขัน" เป็นปกติของสถาปัตยกรรม Paladio ของรอบระยะเวลานี้ ตั้งอยู่บนฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ตำแหน่งถูกเหมาะเป็นจุดสังเกตของเจ้าหน้าที่เองเป็นบ้านของเขาพระยา Chollabhumipanish ภรรยา และลูก ๆ 10 มีหลายปีมีความสุขในแมนชั่น ในปี 1946 เมื่อความหลักเปลี่ยนจากน้ำเป็นถนน ครอบครัวย้ายไปบริเวณสุขุมวิท ในด้านอื่น ๆ ของแม่น้ำ เจ้าของบ้านแล้วโอนย้ายไปยังมูลนิธิสำหรับชุมชนมุสลิม และมันก็เปิดเป็นโรงเรียนราชการุณพาร์คจาก บ้านของตระกูลไปโรงเรียนสำหรับเด็ก "บ้านบางยีขัน" ยังคงยืนให้ความอบอุ่นกับนักเรียน ครู และผู้โดยสารโดยไม่แบ่งแยกศาสนา โรงเรียนดำเนินการจนถึงปี 1978 เมื่อมันปิดเนื่องจากปัญหาทางการเงิน ห้าปีต่อมา อาคารกลายเป็น โรงเรียนอาชีวศึกษา Indara จนถึงปี 1996หลังจากทศวรรษฟอลผุ Paladio เก่าดึงดูดความสนใจของผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชัย Pitakvorrarat ที่ได้รับการดูจากข้ามแม่น้ำเป็นเวลานาน มั่นใจด้วยคุณค่า คุณวิชัย teamed ขึ้นกับภรรยาของเขาเพื่อฟื้นฟู และปรับปรุงอาคาร แม้หนักต้นทุนขององค์กรนี้ ความเสียหายน้ำท่วมรวมทั้งปัญหาการขนส่งไม่หยุดคุณวิชัย เขาเชื่อในความสำคัญของการอนุรักษ์ และอย่างละเอียดใช้วัสดุเดิมและฝีมือก็ กลับบ้านของอดีต 'พระยาพาลาซโซ่' ถูกนำกลับไปสู่ชีวิตใน 2009พระยาพาลาซโซ่เปิดร้านอาหารของมัน ซึ่งได้รับการสรรเสริญที่มากมายในหมู่ชุมชนกรุงเทพมหานครตั้งแต่ และ 2011 เห็นท่านเดอะเรสซิเดนซ์

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แมนชั่นของเราแพร่หลายในประวัติศาสตร์เป็นจุดเริ่มต้นของการที่วันที่กลับไปปี 1923 ในขณะที่กรุงเทพฯมีการไหลเข้าของศิลปินชาวอิตาลีที่เดินทางมาถึงการทำงานภายใต้คณะกรรมการของศิลปินที่มีชื่อเสียงรัชกาลเช่นกาลิเลโอและ Chini Carlo Rigoli ทำงานในโครงการ ทั่วทุกมุมเมือง พระยา Chollabhumipanish - ขุนนางของศาลกรมกำหนดเอง - ได้รับมอบหมายให้ออกแบบและสร้างคฤหาสน์ได้รับอิทธิพลจากศิลปินอิตาเลียนเหล่านี้ อาคารเดิมเรียกว่า "บ้านบางยี่ขัน" เป็นเรื่องปกติของสถาปัตยกรรม Paladio ของช่วงเวลานี้ ตั้งอยู่บนฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา, ตำแหน่งเป็นงานที่เหมาะเป็นจุดสังเกตสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ที่กำหนดเองของเจ้าของเช่นเดียวกับบ้านของเขา.

พระยา Chollabhumipanish ภรรยาและลูกของพวกเขา 10 ปีของเขามีความสุขมากมายในคฤหาสน์ ในปี 1946 เมื่อวิธีการหลักของการขนส่งทางน้ำเปลี่ยนจากถนนครอบครัวย้ายไปยังพื้นที่สุขุมวิทในด้านอื่น ๆ ของแม่น้ำ เจ้าของบ้านนั้นก็ย้ายไปมูลนิธิเพื่อชุมชนมุสลิมและมันก็กลายเป็นโรงเรียนรกรากไปย่านสุขุมวิท.

จากการถูกบ้านของตระกูลขุนนางให้โรงเรียนสำหรับเด็กที่ "บ้านบางยี่ขัน" ยังคงยืนอยู่ที่จะนำเสนอความอบอุ่นให้กับนักเรียน ครูและผู้โดยสารไม่มีความแตกต่างทางศาสนา โรงเรียนดำเนินการจนกระทั่ง 1978 เมื่อมันปิดเนื่องจากปัญหาทางการเงิน ห้าปีต่อมาได้กลายเป็นอาคารโรงเรียนอินทรอาชีวศึกษาจนถึงปี 1996

หลังจากทศวรรษที่ผ่านมาล้มลงในการสลายตัวของ Paladio เก่าดึงดูดความสนใจของผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชัยพิทักษ์วรรัตน์ที่ีได้รับการมองจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำมาเป็นเวลานาน ความเชื่อมั่นของค่าของมันคุณวิชัยร่วมกับภรรยาของเขาเพื่อเรียกคืนและปรับปรุงอาคารทั้งๆที่มีค่าใช้จ่ายหนักขององค์กรนี้ ความเสียหายจากน้ำท่วมเช่นเดียวกับปัญหาการขนส่งไม่ได้หยุดคุณวิชัย; เขาเชื่อในความสำคัญของการอนุรักษ์และทั่วถึงใช้วัสดุที่เป็นต้นฉบับและงานฝีมือไปจนคืนสถานะความรุ่งเรืองในอดีตของบ้าน 'พระยาพาลาซโซ่' ถูกนำกลับไปใช้ชีวิตในปี 2009

พระยาพาลาซโซ่แรกที่เปิดร้านอาหารซึ่งได้รับการสรรเสริญจำนวนมากในหมู่ชุมชนกรุงเทพฯตั้งแต่และ 2011 เห็นแขกคนแรกที่ตรวจสอบในที่อยู่อาศัย

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

คฤหาสน์ของเราเป็นแพร่หลายในประวัติศาสตร์ เริ่มต้นที่วันที่กลับไปปี 1923 . ที่ กรุงเทพมหานคร มีการไหลเข้าของศิลปินชาวอิตาลีที่เดินทางทำงานภายใต้คณะกรรมการรัชกาลที่ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น กาลิเลโอ คีนิ และคาร์โล ริโกลีทำโครงการทั้งหมดรอบ ๆเมือง พระยา chollabhumipanish –ขุนนางของราชสำนัก และได้มอบหมายให้กรมศุลกากรเพื่อออกแบบและสร้างคฤหาสน์ เป็นอิทธิพลอย่างมากโดยศิลปินอิตาลีเหล่านี้ อาคารเดิมเรียกว่า " บ้านบางยี่ขัน " เป็นปกติของ paladio สถาปัตยกรรมของช่วงเวลานี้ ตั้งอยู่บนธนาคารของแม่น้ำเจ้าพระยา ตำแหน่งของมันคือเหมาะเป็นจุดสังเกตการณ์การปฏิบัติงานที่กำหนดเองของเจ้าของ รวมทั้งบ้านของเขาพระยา chollabhumipanish ภรรยาและลูกที่ 10 ของปีมีความสุขมากมายในคฤหาสน์ ในปี 1946 เมื่อหมายถึงหลักของการขนส่ง เปลี่ยนจากเส้นทางถนน ครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ย่านสุขุมวิท , ในด้านอื่น ๆของแม่น้ำ ความเป็นเจ้าของบ้านก็ถูกโอนไปยังมูลนิธิชุมชนมุสลิม และมันก็กลายเป็นโรงเรียน rachakarun .เป็นบ้านของตระกูลโรงเรียนสำหรับเด็ก " บ้านบางยี่ขัน " ก็ยังคงให้ความอบอุ่นแก่นักเรียน ครู และผู้โดยสาร โดยปราศจากการแบ่งแยกทางศาสนา โรงเรียนดำเนินการจนกระทั่ง 1978 เมื่อมันถูกปิดเนื่องจากปัญหาทางการเงิน ห้าปีต่อมา อาคารกลายเป็นอินทรอาชีวศึกษาจนถึงปี พ.ศ. 2539หลังจากทศวรรษที่ล้มลงใน paladio เก่าผุ , ดึงดูดความสนใจของผู้ช่วย pitakvorrarat วิชัยศาสตราจารย์ที่ถูกมองข้าม แม่น้ำเป็นเวลานาน ความเชื่อมั่นของค่าของ คุณวิชัย ร่วมมือกับภรรยาของเขา เพื่อฟื้นฟูและบูรณะอาคาร แม้ว่าค่าใช้จ่ายที่หนักขององค์กรนี้ น้ำท่วมเสียหาย รวมทั้งปัญหาการขนส่งไม่ได้หยุด คุณวิชัย เขาเชื่อในความสำคัญของการอนุรักษ์และทั่วถึง ใช้วัสดุเดิมและฝีมือก็คืนความรุ่งโรจน์ในอดีตของบ้าน พระยา พาลาซโซ " " ได้ชีวิตกลับคืนมา ในปี 2009พระยา พาลาซโซ่ ก่อนเปิดร้านอาหาร ซึ่งได้รับคำชมมากมายในชุมชน กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ ปี 2554 เห็นแขกก่อนเช็คอินที่โรงแรม