ลักษณะของป่าดงดิบทั่วไป มักเป็นป่าทึบ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อ การแปล - ลักษณะของป่าดงดิบทั่วไป มักเป็นป่าทึบ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อ ไทย วิธีการพูด

ลักษณะของป่าดงดิบทั่วไป มักเป็นป่าท

ลักษณะของป่าดงดิบทั่วไป มักเป็นป่าทึบ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อยชนิด ต้นไม้ชั้นบนซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ตระกูลยาง (Dipterocarpaceae) มักมีลำต้นสูงตั้งแต่ 30 ถึง 50 เมตร และมีขนาดใหญ่มาก ถัดลงมาก็เป็นต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งสามารถขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ได้ รวมทั้งต้นไม้ในตระกูลปาล์ม (Palmaceae) ชนิดต่างๆ พื้นป่ามักรกทึบ และประกอบด้วยไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก ระกำ หวาย ไม้ไผ่ต่างๆ บนลำต้นมีพันธุ์ไม้จำพวก epiphytes เช่น พวกเฟิร์น และมอส ขึ้นอยู่ทั่วไป เถาวัลย์ในป่าชนิดนี้มากกว่าในป่าชนิดอื่นๆ ไม้พื้นล่าง (undergrowth) ที่มีในป่าชนิดนี้มี ไม้ไผ่ (bamboo) หลายชนิด เช่น ไม้ฮก (Dendrocalamus brandisii Kurz.) ไม้เฮี้ย (Cephalostachyum virgatum Kurz.) ไม้ไร่เครือ ไม้ไผ่คลาน (Dinochloa macllelandi Labill.) เป็นต้น นอกจากนั้นก็มีไม้ในตระกูลปาล์มต่างๆ เช่น ต๋าวหรือลูกชิด (Arenga pinnata Merr.) เต่าร้าง (Caryota urens Linn.) และค้อ (Livistona speciosa Kurz.) เป็นต้น รวมทั้งเฟินหรือกูด เฟินต้นและหวาย (Calamus spp.)
ป่าดิบเมืองร้อน
เป็นป่าไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่อยู่ในเขตที่มีมรสุมพัดผ่านอยู่เกือบตลอดทั้งปี มีปริมาณน้ำฝนมาก ดินมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่ทั้งในที่ราบและที่เป็นภูเขาสูง มีกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ภาคเหนือไปถึงภาคใต้ ป่าดิบเมืองร้อนจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสภาพภูมิอากาศ ค่อนข้างชื้นและฝนตกชุก ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมอย่างมาก แบ่งย่อยตามสภาพความชุ่มชื้นและความสูงต่ำของภูมิประเทศ ได้ดังนี้

ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝน ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกัน สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ก. ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
ข. ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)
ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบ ป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่
1. ป่าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest)
ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศ แต่ที่มีมากที่สุด ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก ในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่น ป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมาก ๆ เช่น ตามหุบเขาริมแม่น้ำลำธาร ห้วย แหล่งน้ำ และบนภูเขา ซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่าง ๆ ดังนี้

1.1 ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest)
เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ไม้ที่สำคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ เช่น ยางนา ยางเสียน ส่วนไม้ชั้นรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอน้ำ กอเดือย

1.2 ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest)
เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย เช่น ในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตร ไม้ที่สำคัญได้แก่ มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคียนแดง กระเบากลัก และตาเสือ
1.3 ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest)
ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล ไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้ขุนและสนสามพันปี นอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่ พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมาได้แก่ เป้ง สะเดาช้าง และขมิ้นต้น
2. ป่าสนเขา (Pine Forest)
ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ 200-1800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตร จากระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขา เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง รัง เหียง พลวง เป็นต้น

3. ป่าชายเลน (Mangrove Forest)
บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม" หรือป่าเลน มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ำยันและรากหายใจ ป่าชนิดนี้ปรากฎอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ ๆ ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ บริเวณปากน้ำเวฬุ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สำหรับการเผาถ่านและทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญ คือ โกงกาง ประสัก ถั่วขาว ถั่วขำ โปรง ตะบูน แสมทะเล ลำพูนและลำแพน ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และเป้ง เป็นต้น

4. ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (Swamp Forest)
ป่าชนิดนี้มักปรากฎในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมาก ๆ ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาคกลาง มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ เช่น ครอเทียน สนุ่น จิก โมกบ้าน หวายน้ำ หวายโปร่ง ระกำ อ้อ และแขม ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีท ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่าง ๆ เรียก "ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด" อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ มากชนิดขึ้นปะปนกัน

ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าพรุ ได้แก่ อินทนิล น้ำหว้า จิก โสกน้ำ กระทุ่มน้ำภันเกรา โงงงันกะทั่งหัน ไม้พื้นล่างประกอบด้วย หวาย ตะค้าทอง หมากแดง และหมากชนิดอื่น ๆ

5. ป่าชายหาด (Beach Forest)
เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเล น้ำไม่ท่วมตามฝั่งดินและชายเขาริมทะเล ต้นไม้สำคัญที่ขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเล ต้องเป็นพืชทนเค็ม และมักมีลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคดงอ ใบหนาแข็ง ได้แก่ สนทะเล หูกวาง โพธิ์ทะเล กระทิง ตีนเป็ดทะเล หยีน้ำ มักมีต้นเตยและหญ้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่าง ตามฝั่งดินและชายเขา มักพบไม้เกตลำบิด มะคาแต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนามชนิดต่าง ๆ เช่น ซิงซี่ หนามหัน กำจาย มะดันขอ เป็นต้น
ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Declduous)
ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าประเภทนี้เป็นจำพวกผลัดใบแทบทั้งสิ้น ในฤดูฝ
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ลักษณะของป่าดงดิบทั่วไปมักเป็นป่าทึบประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อยชนิดต้นไม้ชั้นบนซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ตระกูลยาง (Dipterocarpaceae) มักมีลำต้นสูงตั้งแต่ 30 ถึง 50 เมตรและมีขนาดใหญ่มากถัดลงมาก็เป็นต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลางซึ่งสามารถขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ได้รวมทั้งต้นไม้ในตระกูลปาล์ม (Palmaceae) ชนิดต่าง ๆ พื้นป่ามักรกทึบและประกอบด้วยไม้พุ่มไม้ล้มลุกระกำหวายไม้ไผ่ต่าง ๆ บนลำต้นมีพันธุ์ไม้จำพวกเลี้ยงเช่นพวกเฟิร์นและมอสขึ้นอยู่ทั่วไปเถาวัลย์ในป่าชนิดนี้มากกว่าในป่าชนิดอื่น ๆ ไม้พื้นล่าง (undergrowth) ที่มีในป่าชนิดนี้มีไม้ไผ่ (ไม้ไผ่) หลายชนิดเช่นไม้ฮก (ไผ่ตง brandisii ชั่ง) ไม้เฮี้ย (Cephalostachyum virgatum ชั่ง) ไม้ไร่เครือไม้ไผ่คลาน (Dinochloa macllelandi Labill.) เป็นต้นนอกจากนั้นก็มีไม้ในตระกูลปาล์มต่าง ๆ เช่นต๋าวหรือลูกชิด (Arenga pinnata Merr.) เต่าร้าง (Caryota urens และการผลิต) (Livistona น้ำชั่ง) และค้อเป็นต้นรวมทั้งเฟินหรือกูดเฟินต้นและหวาย (Calamus โอ)ป่าดิบเมืองร้อนเป็นป่าไม่ผลัดใบเป็นป่าที่อยู่ในเขตที่มีมรสุมพัดผ่านอยู่เกือบตลอดทั้งปีมีปริมาณน้ำฝนมากดินมีความชื้นอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่ทั้งในที่ราบและที่เป็นภูเขาสูงมีกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ภาคเหนือไปถึงภาคใต้ป่าดิบเมืองร้อนจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสภาพภูมิอากาศค่อนข้างชื้นและฝนตกชุกได้รับอิทธิพลของลมมรสุมอย่างมากแบ่งย่อยตามสภาพความชุ่มชื้นและความสูงต่ำของภูมิประเทศได้ดังนี้ ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝนระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกันสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ พบว่ามีการป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (เอเวอร์กรีน) ข. ป่าประเภทที่ผลัดใบ (ผลัดใบ) ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (เอเวอร์กรีน) ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปีเนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้ได้แก่1. ป่าดงดิบ (ป่าไม้ไม่ผลัดใบเขตร้อนหรือป่า)ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศแต่ที่มีมากที่สุดได้แก่ภาคใต้และภาคตะวันออกในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่นป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมากๆ เช่นตามหุบเขาริมแม่น้ำลำธารห้วยแหล่งน้ำและบนภูเขาซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่างๆ ดังนี้ 1.1 ป่าดิบชื้น (ชุ่มชื่นเอเวอร์กรีนฟอเรสต์)เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลไม้ที่สำคัญก็คือไม้ตระกูลยางต่างๆ เช่นยางนายางเสียนส่วนไม้ชั้นรองคือพวกไม้กอเช่นกอน้ำกอเดือย 1.2 ป่าดิบแล้ง (แห้งเอเวอร์กรีนฟอเรสต์) เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อยเช่นในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตรไม้ที่สำคัญได้แก่มะคาโมงยางนาพยอมตะเคียนแดงกระเบากลักและตาเสือ 1.3 ป่าดิบเขา (ป่าเอเวอร์กรีนฮิลล์) ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูงๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1000 1200 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm ได้แก่พวกไม้ขุนและสนสามพันปีนอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมาได้แก่เป้งสะเดาช้างและขมิ้นต้น2. ป่าสนเขา (ป่าสน)ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ 200-1800 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตรจากระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่งชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือสนสองใบและสนสามใบส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขาเช่นกอชนิดต่างๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิดคือเต็งรังเหียงพลวงเป็นต้น3. ป่าชายเลน (ป่าชายเลน)บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม" หรือป่าเลนมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ำยันและรากหายใจป่าชนิดนี้ปรากฎอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ๆ ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้านตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือบริเวณปากน้ำเวฬุอำเภอขลุงจังหวัดจันทบุรีพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลนส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สำหรับการเผาถ่านและทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญคือโกงกางประสักถั่วขาวถั่วขำโปรงตะบูนแสมทะเลลำพูนและลำแพนฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวกปรงทะเลเหงือกปลายหมอปอทะเลและเป้งเป็นต้น4. ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (ป่าพรุ)ป่าชนิดนี้มักปรากฎในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมากๆ ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาคกลางมีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆ เช่นครอเทียนสนุ่นจิกโมกบ้านหวายน้ำหวายโปร่งระกำอ้อและแขมในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีทซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกันเป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะคือตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่างๆ เรียก "ป่าพรุเสม็ดหรือป่าเสม็ด" อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่างๆ มากชนิดขึ้นปะปนกัน ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าพรุได้แก่อินทนิลน้ำหว้าจิกโสกน้ำกระทุ่มน้ำภันเกราโงงงันกะทั่งหันไม้พื้นล่างประกอบด้วยหวายตะค้าทองหมากแดงและหมากชนิดอื่นๆ 5. ป่าชายหาด (หาดป่า)เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเลน้ำไม่ท่วมตามฝั่งดินและชายเขาริมทะเลต้นไม้สำคัญที่ขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเลต้องเป็นพืชทนเค็มและมักมีลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคดงอใบหนาแข็งได้แก่สนทะเลหูกวางโพธิ์ทะเลกระทิงตีนเป็ดทะเลหยีน้ำมักมีต้นเตยและหญ้าต่างๆ ขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่างตามฝั่งดินและชายเขามักพบไม้เกตลำบิดมะคาแต้กระบองเพชรเสมาและไม้หนามชนิดต่างๆ เช่นซิงซี่หนามหันกำจายมะดันขอเป็นต้นป่าประเภทที่ผลัดใบ (Declduous) ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าประเภทนี้เป็นจำพวกผลัดใบแทบทั้งสิ้นในฤดูฝ
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ลักษณะของป่าดงดิบทั่วไปมักเป็นป่าทึบ (ไม้วงศ์ยาง) มักมีลำต้นสูงตั้งแต่ 30 ถึง 50 เมตรและมีขนาดใหญ่มาก รวมทั้งต้นไม้ในตระกูลปาล์ม (Palmaceae) ชนิดต่างๆพื้นป่ามักรกทึบและประกอบด้วยไม้พุ่มไม้ล้มลุกระกำหวายไม้ไผ่ต่างๆบนลำต้นมีพันธุ์ไม้จำพวก epiphytes เช่นพวกเฟิร์นและมอสขึ้นอยู่ทั่วไป ไม้พื้นล่าง (พง) ที่มีในป่าชนิดนี้มีไม้ไผ่ (ไม้ไผ่) หลายชนิดเช่นไม้ฮก (Dendrocalamus brandisii Kurz.) ไม้เฮี้ย (Cephalostachyum virgatum Kurz.) ไม้ไร่เครือไม้ไผ่คลาน (Dinochloa macllelandi Labill.) เป็นต้น เช่นต๋าวหรือลูกชิด (ชก Merr.) เต่าร้าง (เต่าร้าง Linn.) และค้อ (ค้อ Kurz.) เป็นต้นรวมทั้งเฟินหรือกูดเฟินต้นและหวาย (Calamus spp.)
ป่าดิบเมืองร้อน
เป็นป่าไม่ผลัดหาคน มีปริมาณน้ำฝนมากดินมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา ค่อนข้างชื้นและฝนตกชุกได้รับอิทธิพลของลมมรสุมอย่างมาก สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือก ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (เอเวอร์กรีน) ข ป่าประเภทที่ผลัดใบ (ผลัดใบ) ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ ได้แก่1 ป่าดงดิบ (Tropical ป่าดิบหรือฝน แต่ที่มีมากที่สุด ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก ๆ เช่นตามหุบเขาริมแม่น้ำลำธารห้วยแหล่งน้ำและบนภูเขา ๆ ดังนี้1.1 ป่าดิบชื้น (Moist เอเวอร์กรีน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลไม้ที่สำคัญก็คือไม้ตระกูลยางต่าง ๆ เช่นยางนายางเสียนส่วนไม้ชั้นรองคือพวกไม้กอเช่นกอน้ำกอเดือย1.2 ป่าดิบแล้ง (Dry เอเวอร์กรีน เช่น 300-600 เมตรไม้ที่สำคัญ ได้แก่ มะคาโมงยางนาพยอมตะเคียนแดงกระเบากลักและตาเสือ1.3 ป่าดิบเขา (ป่าดิบเขา) ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตรขึ้นไปจากระดับ น้ำทะเลไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้ขุนและสนสามพันปีนอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมา ได้แก่ เป้งสะเดาช้างและขมิ้นต้น2. ป่าสนเขา (ไพน์ 200-1800 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตร ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง สนสองใบและสนสามใบ เช่นกอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิดคือเต็งรังเหียงพลวงเป็นต้น3. ป่าชายเลน (ป่าชายเลน) บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม" หรือป่าเลน ๆ บริเวณปากน้ำเวฬุอำเภอขลุง คือโกงกางประสักถั่วขาวถั่วขำโปรงตะบูนแสมทะเลลำพูนและลำแพน ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวกปรงทะเลเหงือกปลายหมอปอทะเลและเป้งเป็นต้น4. ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (บึง ๆ ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาคกลาง ๆ เช่นครอเทียนสนุ่นจิกโมกบ้านหวายน้ำหวายโปร่งระกำอ้อและแขม ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกันเป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะคือ ๆ เรียก "ป่าพรุเสม็ดหรือป่าเสม็ด" ๆ ได้แก่ อินทนิลน้ำหว้าจิกโสกน้ำกระทุ่มน้ำภันเกราโงงงันกะทั่งหันไม้พื้นล่างประกอบด้วยหวายตะค้าทองหมากแดงและหมากชนิดอื่น ๆ5. ป่าชายหาด (บีช ต้องเป็นพืชทนเค็ม ใบหนาแข็ง ได้แก่ สนทะเลหูกวางโพธิ์ทะเลกระทิงตีนเป็ดทะเลหยีน้ำมักมีต้นเตยและหญ้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่างตามฝั่งดินและชายเขามักพบไม้เกตลำบิดมะคาแต้กระบองเพชรเสมาและไม้หนามชนิด ต่าง ๆ เช่นซิงซี่หนามหันกำจายมะดันขอเป็นต้นป่าประเภทที่ผลัดหาคน ในฤดูฝ































การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ลักษณะของป่าดงดิบทั่วไปมักเป็นป่าทึบประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อยชนิดต้นไม้ชั้นบนซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ตระกูลยาง ( Dipterocarpaceae ) มักมีลำต้นสูงตั้งแต่ 30 ถึง 50 เมตรและมีขนาดใหญ่มากซึ่งสามารถขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ได้รวมทั้งต้นไม้ในตระกูลปาล์ม ( palmaceae ) ชนิดต่างๆพื้นป่ามักรกทึบและประกอบด้วยไม้พุ่มไม้ล้มลุกระกำหวายไม้ไผ่ต่างๆบนลำต้นมีพันธุ์ไม้จำพวกพืชอาศัยเช่นพวกเฟิร์นขึ้นอยู่ทั่วไปเถาวัลย์ในป่าชนิดนี้มากกว่าในป่าชนิดอื่นๆไม้พื้นล่าง ( พื้น ) ที่มีในป่าชนิดนี้มีไม้ไผ่ ( ไม้ไผ่ ) หลายชนิดเช่นไม้ฮก ( ไผ่ตง brandisii ซ .) ไม้เฮี้ย ( ระบบสารสนเทศทางการบัญชี ) ไม้ไร่เครือไม้ไผ่คลาน ( dinochloa macllelandi labill ) เป็นต้นนอกจากนั้นก็มีไม้ในตระกูลปาล์มต่างๆเช่นต๋าวหรือลูกชิด ( รอม Merr . ) เต่าร้าง ( caryota urens Linn . ) และค้อ ( ค้อ) เป็นต้นรวมทั้งเฟินหรือกูดเฟินต้นและหวาย ( Calamus spp . )

ป่าดิบเมืองร้อนเป็นป่าไม่ผลัดใบเป็นป่าที่อยู่ในเขตที่มีมรสุมพัดผ่านอยู่เกือบตลอดทั้งปีมีปริมาณน้ำฝนมากดินมีความชื้นอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่ทั้งในที่ราบและที่เป็นภูเขาสูงมีกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ภาคเหนือไปถึงภาคใต้ค่อนข้างชื้นและฝนตกชุกได้รับอิทธิพลของลมมรสุมอย่างมากแบ่งย่อยตามสภาพความชุ่มชื้นและความสูงต่ำของภูมิประเทศได้ดังนี้

ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝนระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกันสามารถจำแนกได้เป็น 2 ไม่มีความประเภทใหญ่
. . ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ ( Evergreen )
" .ป่าประเภทที่ผลัดใบ ( ผลัดใบ ( Evergreen ) ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ )

ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปีเนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้ได้แก่
1ป่าดงดิบ ( ป่าดงดิบ )
ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศแต่ที่มีมากที่สุดได้แก่ภาคใต้และภาคตะวันออกในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่นป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมากจะเช่นห้วยแหล่งน้ำและบนภูเขาซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่างจะดังนี้
1.1 ป่าดิบชื้น

( ป่าดิบชื้น )เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลไม้ที่สำคัญก็คือไม้ตระกูลยางต่างจะเช่นยางนายางเสียนความพวกไม้กอเช่นกอน้ำกอเดือย
1.2 ป่าดิบแล้ง

( ป่าดิบแล้ง )เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อยเช่นในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตรไม้ที่สำคัญได้แก่มะคาโมงยางนาพยอมตะเคียนแดงกระเบากลัก
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: