หญิงมุสลิมท่านหนึ่งที่ยอมสละซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อบิดามารดาและศาสนาอิสลามด้วยความกตัญญูเป็นที่ตั้ง จนอัลลอฮฺได้ทรงประทานเกียรติสูงสุดในโลกนี้โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าวิเศษ เนื่องจากผลงานที่อุทิศเพื่อศาสนาและประเทศชาติโดยอาศัยหลักการทางศาสนามาเป็นแนวดำเนินการ สำนักข่าวไทยมุสลิม ขอกล่าวถึงมุสลีมะห์ท่านนี้คือ “ท่านผู้หญิงสมร ภูมิณรงค์”
ท่านผู้หญิงสมร ภูมิณรงค์ หรือชื่อภาษาอาหรับ ฮัจยะห์อาบีบะห์ บินตี ฮัจยีอิสมาอีล เป็นบุตรของอดีตจุฬาราชมนตรีนายต่วน สุวรรณศาสน์(ฮัจยีอิสมาแอล- สุวรรณศาสน์) และนางสาย สุวรรณศาสน์ เกิดวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2471 ปัจจุบัน อายุ 84 ปี อาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯมาโดยกำเนิดและใช้ชีวิตในกรุงเทพฯตลอด แต่มี พ่อที่มีความเคร่งครัดศรัทธาในการปฏิบัติศาสนกิจและเป็นผู้ที่มีความรู้ ซึ่งทุก คนจะเรียกว่า“ครูต่วน” ท่านได้ให้ความรู้กับคนโดยทั่วไปตั้งแต่ท่านกลับมาจาก นครมักกะห์ เพราะฉะนั้นจึงมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านผู้หญิงเองก็ไม่ได้เรียน ภาษาไทยเหมือนกัน เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีอะไรมากนัก ผู้หญิงก็ไม่ได้ออก จากบ้าน ก็จะอยู่ในบ้านในเรือน ปฏิบัติตามหลักศาสนาแต่คุณพ่อ(อาเยาะห์) เป็นคนที่มองการณ์ไกล เห็นประโยชน์ของการศึกษาจึงได้ส่งไปเรียนภาคสามัญ นอกบ้าน แต่ว่าอยู่ใกล้ๆกับบ้านนั้นเอง ตอนนั้นอายุ 7 ขวบ เรียนอยู่ที่โรงเรียน สุริวงศ์ ซึ่งเป็นชื่อถนน ถนนสุริวงศ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอประชุมอายูมันอิสลาม แล้วเข้ามาเรียนชั้นมัธยม 5 และ 6 ที่โรงเรียนอัสสัมชันคอนเวนต์ ในปี2488 เรียนต่อที่โรงเรียนพาณิชยการพระนครตั้งอยู่ที่วังบูรพา3 ปี ก็จบสูงสุดของ อาชีวะความรู้ที่ได้ก็คือบัญชี การค้าและก็เศรษฐศาสตร์ แล้วก็พาณิชยการพระนครนี้สามารถเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้โดยไม่ต้องสอบ พอไปอยู่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ 6 เดือน แล้วก็จำเป็นต้องออก เพราะว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในสมัยนั้นมีห้องประชุมเล็กมากที่เดียว เรียนได้เป็นรุ่นๆ ประมาณ 40-50 คนประมาณนี้ ที่ก็ไม่กว้างขวาง เวลาเราไปต้องมีเพื่อนจองที่ไว้ก่อน เพื่อนอยู่แถววัดคนละฝั่งกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เขามาแต่เช้าแล้วก็จองที่ ให้เราแต่ว่าเราเกรงใจมากเพราะวันหนึ่งก็แล้ว สองวันก็แล้วเราไม่ได้ไปฟัง เลคเชอร์ เพราะฉะนั้นไม่เป็นประโยชน์เลย เพื่อนก็ทรมาน เราก็ทรมานใจที่ไม่ได้ไป แล้วก็คิดถึงเพื่อน ที่เพื่อนต้องทำประโยชน์ให้แก่เราแต่เรานั้นรับประโยชน์นั้น ไม่ได้ เรียนได้ 6 เดือนนั้น ก็มีความจำเป็นต้องออก แล้วจะเรียนต่อไปก็ไม่ไหว แล้ว ยิ่งเรียนสูงขึ้นงานก็ต้องมากขึ้น และต้องทำงานของตัวเองด้วย เพราะในปี นั้นคุณพ่อก็ได้รับการเลือกตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีเป็นคนแรกของ พระราชบัญญัติ ท่านนั้นได้ตำแหน่งแต่ว่าไม่มีเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งอะไรเลย นอกจากเงิน การประชุมคณะกรรมการกลาง แล้วก็เงินสำหรับท่านเป็นค่าตอบแทนท่าน เลขานุการก็ ไม่มี ค่าเครื่องเขียนใดๆ ก็ไม่มี วันหนึ่งท่านจอมพลป.พิบูลสงคราม ได้บอกกับ คุณพ่อว่าอยากให้ลูกทำงานหน้าที่นี้ ถามคุณพ่อว่ามีลูกอยู่กี่คน ก็มีอยู่สองคน ลูกชายนั้นก็เรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ส่วนลูกสาวนั้นก็เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ที่ท่านถามถึงเรื่องลูกนั้นเป็นเพราะตำแหน่งนี้ไม่มีค่าตอบแทน อยากได้ลูกมาทำหน้าที่เป็นเลขานุการ จึงมอบหน้าที่เลขานุการให้เราตั้งแต่ปี 2490 ทำงานได้หน่อยนึง ก็ต้องแต่งงาน ก็เป็นไปตามความเห็นของผู้ใหญ่ ซึ่ง บอกว่าถ้าเผื่อมีใครมาขอแล้วอยู่ในอีหม่าน ก็จะให้ แล้วเราก็ไม่ได้มีห่วงว่าเรามีใครอยู่เพราะฉะนั้นเราก็แต่งงานไปแล้วก็ทำงานไป
“เมื่อก่อนนั้นไม่สะดวกเหมือนกับเดียวนี้ ไม่มีรถ เราก็ได้รถประจำ ตำแหน่งจากสำนักนายกฯเอามาใช้อยู่คันหนึ่ง แล้วก็การทำพิมพ์หรือทำจดหมาย ราชการ เราก็ต้องขวนขวาย เท่ากับเราเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ทางกระทรวงให้ ความร่วมมือในการมาสอนให้ มาแนะนำ มาชี้ให้ว่าวิธีการติดต่อราชการเป็น อย่างไร เราเรียนที่พาณิชยการฯเราก็ได้ในเรื่องการพิมพ์ดีดมาแล้ว เพราะฉะนั้น เป็นการสะดวก เรามีพิมพ์อยู่เราก็ทำไป แล้วก็เรื่องของการถ่ายเอกสารมันก็ไม่ง่าย เหมือนเครื่องในปัจจุบัน เราก็ต้องทำเองทั้งหมด ก็ได้ความรู้จากกระทรวงมหาดไทยว่าอันนี้จะต้องทำอย่างนี้ ต้องติดต่ออย่างนี้ กระทรวงก็มีหลายกระทรวง ว่าจะไป ติดต่ออะไรที่ไหนก็แนะนำให้สักปีหนึ่ง เพราะว่าเราจะไปเรียนที่เขาตลอดก็ไม่ได้ เขาก็มีงาน พร้อมกับมีหน้าที่ติดตามท่านจุฬาฯ ไปต่างจังหวัดที่พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปเยี่ยมราษฏรมุสลิม ช่วยท่านจุฬาฯจัดการพิมพ์พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานฉบับความหมายภาษาไทยตามพระราชประสงค์ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้เวลา13 ปี ในการถอดความหมายภาษาอาหรับเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเราก็ทำหน้าที่เลขานุการนี้มาโดยตลอดจนถึงท่านเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 ปี2524 พอหลังจากหลังนั้นแล้วทางกระทรวงก็ให้รักษาการแทน 3 เดือน หลังจากนั้นก็งด เรื่องนี้ไม่รับตำแหน่งอะไรสักอย่างเดียว” ท่านผู้หญิง เล่าถึงการทำงานช่วงเริ่มต้น ที่ได้ทำงานช่วยคุณพ่อ(อาเยาะห์)
ท่านผู้หญิงทำหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงเรียนและครูของโรงเรียนด้วยทั้งนี้เป็นเพราะว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่เราสอนแบบชนิดที่ว่าให้ความช่วยเหลือคนที่ยากจนเด็กกำพร้าแล้วก็พ่อแม่ที่มีลูกมากตามเจตนาของเจ้าของที่ดินคือนายห้างเออีนานาซึ่งเป็นพ่อของคุณเล็กนานาแล้วเราก็ได้ทำอยู่เราทำก็ไม่ได้กำไรทำแล้วมันก็ขาดทุนแต่จำเป็นที่จะต้องทำเพราะว่าโรงเรียนมุสลิมในตอนนั้นมีไม่มากนักแต่ก่อนที่จะหมดตำแหน่งเลขาฯจุฬาฯก็ได้งานอีกอย่างหนึ่งคืองานผู้พิพากษาสมทบของกรุงเทพฯของศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางอยู่ตรงใกล้ๆสนามหลวงที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในสถานพินิจมีเด็กทั้งพุทธทั้งมุสลิมได้ไปจัดอบรมเด็กเรื่องศาสนาตลอดจนกระทั่งไปทำหอประชุมให้กับสถานพินิจบ้านการุณาและก็อบรมเด็กทุกวันอังคารโดยหาอาจารย์จากข้างนอกแล้วก็เดือนถือศีลอดเราก็จัดของไปซึ่งเป็นที่แรกที่เราจัดที่เกี่ยวกับนักโทษหรือเรื่องเด็กในสถานพินิจ เราก็เป็นรา